วารสารวิชาการพยาบาลและสาธารณสุข (Academic Journal of Nursing and Public Health) https://he05.tci-thaijo.org/index.php/A_JNP <p><strong>วารสารวิชาการพยาบาลและสาธารณสุข<br />(Academic Journal of Nursing and Public Health)</strong><br /><strong> <br />เปิดรับบทความตีพิมพ์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-เม.ย.68) <br /></strong><strong>ขอบเขต:</strong> วารสาร ฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความครอบคลุมเนื้อหาทางด้านการพยาบาล การสาธารณสุข และวิทยาศาสตร์สุขภาพ </p> <p><strong>ปัจจุบัน ฟรีค่าธรรมเนียม</strong></p> th-TH ajnp@cpru.ac.th (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพฑูรย์ วุฒิโส) ajnp@cpru.ac.th (ดร.ปัญญกรินทร์ หอยรัตน์) Wed, 12 Mar 2025 16:39:07 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดชัยภูมิ https://he05.tci-thaijo.org/index.php/A_JNP/article/view/4340 <p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะพึ่งพิงในผู้สูงอายุเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและผู้ดูแล โดยเฉพาะในบริบทของหน่วยบริการปฐมภูมิที่มีทรัพยากรจำกัด การพัฒนารูปแบบการดูแลที่เหมาะสมและมีประสิทธิผลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ดูแลและระบบบริการสุขภาพในชุมชน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์การวิจัย</strong>: 1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการได้รับการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ 2) พัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ และ 3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดชัยภูมิ</p> <p><strong>ระเบียบวิธีวิจัย: </strong>การวิจัยแบบผสมผสาน แบบเชิงอธิบายเป็นลำดับ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงระดับปานกลาง ในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยทำการศึกษาในระหว่างเดือนกันยายน 2566 ถึงมิถุนายน 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสนทนากลุ่ม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้ในการทดสอบ คือ สถิติเชิงพรรณนา สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ stepwise multiple linear regression analysis, paired sample t-test, independent t-test และการวิเคราะห์เชิงประเด็น</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ผลการวิจัยพบว่า 1) แรงสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวและแรงสนับสนุนทางสังคมจากบุคลากรสาธารณสุข มีอิทธิพลต่อการได้รับการดูแลของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;.01) และสามารถร่วมกันพยากรณ์ได้ร้อยละ 22.8 2) รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในหน่วยบริการปฐมภูมิ จังหวัดชัยภูมิ ได้แก่โมเดล CARE ซึ่งประกอบด้วย C: Caregiver support การสนับสนุนผู้ดูแลในครอบครัว A: Assistance การช่วยเหลือและสนับสนุนทางสังคม R: Resource Integration การประสานงานกับหน่วยงานอื่น และ E: Empowerment การเสริมพลังให้กับผู้สูงอายุผู้ดูแลและครอบครัว และ 3) ภายหลังการใช้รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงฯ พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยแรงสนับสนุนทางสังคม การได้รับการดูแลของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงสูง และคุณภาพชีวิตโดยรวมสูงกว่ากลุ่มก่อนการใช้รูปแบบ และสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;.05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าแรงสนับสนุนทางสังคมจากครอบครัวและบุคลากรทางสาธารณสุขเป็นปัจจัยสำคัญในการได้รับการดูแลของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง การพัฒนารูปแบบการดูแลที่เป็นระบบและมีองค์ประกอบที่ครอบคลุมสามารถช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>ข้อเสนอแนะ:</strong> ควรมีการนำ CARE Model ไปประยุกต์ใช้ในหน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่อื่นเพื่อประเมินประสิทธิผลเพิ่มเติม ตลอดจนสนับสนุนนโยบายที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง</p> นฤมล โสรัจจ์ Copyright (c) 2025 วารสารวิชาการพยาบาลและสาธารณสุข (Academic Journal of Nursing and Public Health) https://he05.tci-thaijo.org/index.php/A_JNP/article/view/4340 Wed, 12 Mar 2025 00:00:00 +0700