ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของสตรีอายุ 30 – 59 ปี เขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลแพรกษาใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ
คำสำคัญ:
พฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก, ความรอบรู้ด้านสุขภาพบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกและความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ของสตรีอายุ30 – 59 ปี เขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแพรกษาใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ กลุ่มตัวอย่าง 135 คน ไดมาโดยการสุมอยางงาย เครื่องมือวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ 0.96 ด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ 0.96 และด้านพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก 0.93 วิเคราะห์ข้อมูลสถิติพื้นฐาน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาค่าความสัมพันธ์โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ โดยรวมในระดับสูง (Mean=4.06, SD=0.58)พิจารณารายด้าน คะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการเข้าถึงข้อมูล (Mean =4.17, SD=0.69) รองลงมาคือด้านความรู้ความเข้าใจและด้านทักษะการตัดสินใจ (Mean =4.12, SD=0.68) ด้านการรู้เท่าทันสื่อ (Mean =4.10, SD=0.59) ด้านการจัดการตนเอง(Mean =3.99, SD=0.74) และด้านทักษะการสื่อสาร (Mean =3.89, SD=0.65) ตามลำดับ มีระดับพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.26, SD=0.49) และพบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของสตรีอายุ 30-59 ปี เขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแพรกษาใหม่ จังหวัดสมุทรปราการ ในระดับสูง (r = 0.670, p < 0.001) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้สตรีมีความรอบรู้ด้านสุขภาพในทุกๆด้าน ได้แก่ การพัฒนาสื่อที่เข้าใจง่าย เพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย จัดอบรมให้ความรู้ ใช้กรณีศึกษา และส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านคู่มือหรือสื่อออนไลน์ สนับสนุนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก พัฒนาทักษะด้านการตัดสินใจ โดยให้ข้อมูลปัจจัยเสี่ยงและแนวทางป้องกัน และเปิดโอกาสให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ส่งเสริมการพูดคุยในครอบครัวและชุมชน และสร้างเครือข่ายสุขภาพเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้สตรีมีพฤติกรรมการป้องกันโรคที่ดีขึ้นต่อไป
Downloads
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข Health Data Center. (2566). อัตราการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30-60 ปี. ค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2567, จากhttps://hdcservice.moph.go.th/hdc/main/index.php
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2564). การควบคุมมะเร็งปากมดลูกที่ครอบคลุม แนวทางการปฏิบัติที่สำคัญ. สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ค้นเมื่อ 28 มิถุนายน 2567, จาก https://rh.anamai.moph.go.th/th/manual/1006#wow-book/.
กองสุขศึกษา. (2558). การประเมินและการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy). นนทบุรี: กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. กระทรวงสาธารณสุข.
กองสุขศึกษา. (2561). การเสริมสร้างและประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพ. กรุงเทพมหานคร: นิวธรรมดา-การพิมพ์.
เกษศรินทร์ วัชระพิมลมิตร และ อมรศักดิ์ โพธิ์อ่ำ. (2566). ความรอบรู้ด้านสุขภาพที่มีผลต่อการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงในตำบลหนองปากโลง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอร์ทเทิร์น, 4(3), 30-43.
ขวัญเรือน สุขเพ็ญ และ อมรศักดิ์ โพธิ์อ่ำ. (2567). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีอายุ 30–60 ปี เขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาจาน ตำบลหนองกะท้าว อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอร์ทเทิร์น, 5(2), 47-56.
ชุติมา มีปิ่น และ สาโรจน์ นาคจู. (2566). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสุขภาพ ตามหลัก 3 อ. 2 ส. ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอฟากท่า จังหวัดอุตรดิตถ์. การประชุมวิชาการ ระดับชาติ ประจำปี 2566: เรื่อง สาธารณสุขยุคใหม่เพื่อผู้สูงวัยใส่ใจเทคโนโลยีดิจิทัล (น. 747-756). กรุงเทพฯ: คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
พิไลลักษณ์ เจริญฤทธิ์ และ สุรเดช สำราญจิตต์. (2565). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ที่มารับบริการคลินิกความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลหาดสำราญเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง. (การศึกษา ค้นคว้าอิสระปริญญาสาธารณสุขศาสตรมหาบัณฑิต), มหาวิทยาลัยรามคำแหง, กรุงเทพฯ.
สุดาฟ้า วงศ์หาริมาตย์ และ กรัณฑรัตน์ บุญช่วยธนาสิทธิ. (2565). ดัชนีวัดความรอบรู้ทางด้าน สุขภาพเพื่อการมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกและความตั้งใจใฝ่พฤติกรรมการมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 27(6), 1058-1068.
สุรเดช สําราญจิตต์. (2566). พฤติกรรมสุขภาพทางสาธารณสุข. เอกสารประกอบการสอนวิชา PHA 6303, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคําแหง.
Best, John W. (1977). Research in Education. (3rd ed). Englewood Cliffs, NewJersey : Prentice Hall.
Davis, J. A. (1971). Elementary Survey Analysis. Englewood Cliffs: Prentice-Hall.
International Gynecologic Cancer SocietyCervical. (2023). Cervical Cancer. Retrieved July 19, 2024,fromhttps://igcs.org/Cervical/?gclid=CjwKCAjw4P6oBhBsEiwAKYVkq120a4fn0jMxGBlnLVlhwi1Kp6xlWAIPFMK5p6OEg8A8Scbo0GTfxoC2D0QAvD_BwE
Krejcie, R.V.& Morgan, D.W. (1970). Determining sample sizes for research activities.Educational and Psychological Measurement. 30, 607-610.
Likert, rensis. (1967).The Method of Constructing and Attitude Scale. In Reading in Fishbeic, M (Ed), Attitude Theory and Measurement. New York: Wiley & Son.
Nutbeam, D. (2008).The evolving concept of health literacy. Social Science & Medicine, Dec; 67(12), 2072-2078.
Pender. (1987). Health Promotion Nursing Practice. Appleton Century-Crofts, Norwalk.
World Health Organization. (2020). Cervical cancer. Retrieved July 14, 2024, from https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/cervical-cancer.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6 และบุคลากรท่านอื่น ในศูนย์ฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว