วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6
<p>วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง) เป็นวารสารวิชาการของ ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6จัดทำขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ด้านการสาธารณสุขมูลฐาน ด้านการสาธารณสุข และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคท้องถิ่น และภาคประชาชน โดยเผยแพร่ทางออนไลน์ปีละ 3 ฉบับ</p> <p><strong>ฉบับที่ 1 ประจำเดือนมกราคม </strong><strong>– เมษายน</strong> ส่งต้นฉบับภายในวันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน</p> <p><strong>ฉบับที่ 2 ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม</strong> ส่งต้นฉบับภายในวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม</p> <p><strong>ฉบับที่ 3 ประจำเดือนกันยายน – ธันวาคม</strong> ส่งต้นฉบับภายในวันที่ 1 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม</p>
ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6
th-TH
วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)
3057-0352
<p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6 </p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6 และบุคลากรท่านอื่น ในศูนย์ฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p>
-
บทบรรณาธิการ
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/6557
ปิยะฉัตร ปาลานุสรณ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-03
2025-09-03
39 2
1
1
-
การพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลตราด
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/6558
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-Method Research) เพื่อศึกษาศักยภาพการปฏิบัติงานและแนวทางในการพัฒนาศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลตราด ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 575 คน ด้วยแบบสอบถาม<br>ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหาร จำนวน 5 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน t-test (Independent Sample), F-test (One – way ANOVA) โดยกำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ด้วยการถอดเทปและจัดกลุ่มประเด็นสาระสำคัญ (Thematic Coding)</p> <p> ผลการศึกษาศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลตราด พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̄ = 3.80; S.D. = 0.47) โดยด้านคุณธรรมจริยธรรมอยู่ในระดับสูงสุด (𝑥̄ = 4.29; S.D. = 0.58) รองลงมาคือด้านรูปแบบ วิธีการ และกิจกรรม (𝑥̄ = 3.90; S.D. = 0.62) การติดต่อประสานงาน (𝑥̄ = 3.76; S.D. = 0.58) และแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน (𝑥̄ = 3.56; S.D. = 0.65) ส่วนด้านทักษะการปฏิบัติงานอยู่ในระดับปานกลาง (𝑥̄ = 3.49; S.D. = 0.52) การศึกษาเปรียบเทียบศักยภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรโรงพยาบาลตราดตามลักษณะส่วนบุคคล พบว่า เพศและอายุ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ แต่พบว่าระดับการศึกษา<br>มีผลต่อศักยภาพในทุกด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .05) โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีมีค่าเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มอื่น ผลการศึกษาแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรโรงพยาบาลตราด สะท้อนความต้องการการพัฒนาใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ ทักษะการปฏิบัติงาน แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน การติดต่อประสานงาน คุณธรรมและจริยธรรมในการปฏิบัติงาน รูปแบบ วิธีการ และกิจกรรม ทั้งนี้ ควรพัฒนาแนวทางการพัฒนาศักยภาพ โดยเฉพาะความต้องการเรียนรู้ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ผ่านเทคโนโลยีและแผนพัฒนารายบุคคล (IDP) การใช้เทคโนโลยี (e-Learning) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) การส่งเสริมทั้ง hard skills และ soft skills และการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในองค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ตลอดชีวิตและแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างรอบด้าน</p> <p> ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ ควรมีนโยบายการพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ชัดเจน ครอบคลุมทุกกลุ่มตำแหน่ง เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสพัฒนา และควรบูรณาการใช้เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เข้าสู่แผนยุทธศาสตร์ขององค์กร เพื่อเสริมสร้างทักษะอย่างยั่งยืน</p>
รุ่งพร เรืองอร่าม
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-03
2025-09-03
39 2
5
15
-
การสังเคราะห์รูปแบบบริหารระบบสุขภาพอำเภอ ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด : กรณีศึกษาจังหวัดชลบุรี
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/6559
<p>การศึกษาวิจัยเรื่องการสังเคราะห์รูปแบบการบริหารระบบสุขภาพอำเภอ ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันการบริหารระบบสุขภาพอำเภอ การสังเคราะห์รูปแบบการบริหารระบบสุขภาพอำเภอ และการพัฒนาการบริหารระบบสุขภาพอำเภอ โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และวิจัยแบบผสม เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย สาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ รวม 130 คน ผลการศึกษาเชิงปริมาณ พบว่า ภายหลังการถ่ายโอนภารกิจ กลุ่มตัวอย่าง มีการทบทวนการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยงานทุกปี และดำเนินงานตามนโยบาย ร้อยละ 100 ร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานของคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขอำเภอ ร้อยละ 100 ประสานการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและเครือข่าย ร้อยละ 100 ผลการศึกษาเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ พบว่า สำนักงานสาธารณสุขอำเภอปรับบทบาทจากการสั่งการเป็นการประสานงาน เกิดความยืดหยุ่นในการทำงาน แต่มีข้อจำกัดด้านการติดตามและประเมินผล การจัดบริการเปลี่ยนจากการให้บริการตรงเป็นการกำกับดูแล สนับสนุน ส่งผลต่อมาตรฐานบริการ เนื่องจากขาดบุคลากรเฉพาะทาง เช่น นิติกร เภสัชกร แพทย์แผนไทย และงบประมาณที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อเสนอแนะคือ ควรส่งเสริมสมรรถนะบุคลากรในการประเมินมาตรฐานบริการปฐมภูมิอย่างเป็นระบบ และพัฒนาสำนักงานสาธารณสุขอำเภอ ให้มีบทบาทเป็นที่ปรึกษาและพี่เลี้ยง เพื่อยกระดับการบริหารระบบสุขภาพอำเภอให้มีคุณภาพภายใต้บริบทใหม่อย่างมืออาชีพ</p>
กิตติ บุญรัตนเนตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-03
2025-09-03
39 2
16
27
-
การยกระดับมาตรฐานสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง: การศึกษาเชิงคุณภาพจากมุมมองผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเขตสุขภาพที่ 6
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/6560
<p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมาตรฐานสถานสถานประกอบเพื่อสุขภาพกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ศึกษาในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 15 คน คัดเลือกแบบเจาะจง เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการถอดเทปให้รหัส จัดหมวดหมู่ข้อมูล และวิเคราะห์แบบอุปนัยเพื่อสังเคราะห์ประเด็นหลักจากข้อมูลภาคสนาม</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อมาตรฐานของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ได้แก่ 1) ด้านบุคลากร พบว่าผู้ดำเนินการและผู้ให้บริการขาดความตระหนัก ความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ และมีจำนวนบุคลากรไม่เพียงพอ 2) ด้านความเข้าใจในมาตรฐาน พบว่าผู้ประกอบการขาดความเข้าใจในเกณฑ์มาตรฐาน 3 ด้าน คือ ด้านอาคารสถานที่ ความปลอดภัย และการบริการ โดยเฉพาะด้านบริการและความปลอดภัยที่มีข้อบกพร่องมากที่สุด 3) ด้านภารกิจและทรัพยากร พบว่าหน่วยงานควบคุมมีภารกิจหลากหลาย ไม่สอดคล้องกับทรัพยากร ทั้งในด้านบุคลากร งบประมาณ และโครงสร้างภายใน ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกำกับดูแล 4) ด้านความรู้ของเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจประเมิน พบว่าขาดความเข้าใจในข้อกฎหมายและมาตรฐานที่จำเป็นต่อการประเมิน รวมถึงความสามารถในการให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการ 5) ด้านการควบคุมกำกับและบทกำหนดโทษ พบว่าการบังคับใช้พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. 2559 ยังมีจุดอ่อนด้านการควบคุมและบทลงโทษ ทำให้การดำเนินการขาดประสิทธิภาพ และ 6) ด้านการบูรณาการความร่วมมือ พบว่าขาดการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่</p> <p>หน่วยงานที่เกี่ยวข้อควรพัฒนาหลักสูตรการอบรมผู้ดูแลและผู้ดำเนินการให้มีมาตรฐานที่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานจริง เสริมสร้างความรู้และความตระหนักในบทบาทหน้าที่แก่ผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง จัดสรรงบประมาณและบุคลากรให้เพียงพอและเหมาะสม ปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยและครอบคลุมต่อสถานการณ์จริง รวมทั้งสร้างระบบการบูรณาการระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วนเพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุในสถานประกอบการเป็นไปอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน</p>
ชนิดา ศิริสวัสดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-03
2025-09-03
39 2
28
39
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงศูนย์ ศสมช. ที่ยกระดับ เป็นศูนย์ปฏิบัติการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ประจำหมู่บ้าน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/6561
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงศูนย์ ศสมช ที่ยกระดับเป็นศูนย์ปฏิบัติการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ประจำหมู่บ้าน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โดยกลุ่มประชากรในการศึกษาคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในพื้นที่ชุมชนเป้าหมายขับเคลื่อนสาธารณสุขมูลฐานอย่างยั่งยืน 76 พื้นที่ จำนวน 2,047 คน กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 360 คน คัดเลือกด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของคอนบาค เท่ากับ 0.979 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่การวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า อสม.มีระดับการยอมรับการเปลี่ยนแปลง ในภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">= 4.28, SD = 0.40) อสม.มีระดับระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับการเปลี่ยนแปลงศูนย์ ศสมช. ที่ยกระดับเป็นศูนย์ปฏิบัติการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ประจำหมู่บ้าน ทุกปัจจัยอยู่ในระดับมาก โดยปัจจัยที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดได้แก่ การรับรู้ถึงประโยชน์ ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">= 4.37, SD = 0.51) การสื่อสารและการสนับสนุนด้านนโยบาย ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">= 4.32, SD = 0.48) ทัศนคติเชิงบวก ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">= 4.22, SD = 0.46) การรับรู้ถึงความง่ายในการทำงาน ( <img src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">= 4.21, SD = 0.45) การรับรู้ถึงประโยชน์ การรับรู้ถึงความง่ายในการทำงาน ทัศนคติเชิงบวก และการสื่อสารและการสนับสนุนด้านนโยบาย มีผลต่อการยอมรับความเปลี่ยนแปลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และร่วมกันพยากรณ์การยอมรับการเปลี่ยนแปลงศูนย์ ศสมช. ที่ยกระดับเป็นศูนย์ปฏิบัติการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ประจำหมู่บ้าน ได้ร้อยละ 50.30 ข้อเสนอแนะ ควรมีการกำหนดกลยุทธ์การขยายผลการดำเนินงานพัฒนาศูนย์ปฏิบัติการโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ประจำหมู่บ้าน ที่ชัดเจน มีการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาศักยภาพ อสม. และการสนับสนุนอุปกรณ์ที่จำเป็นในการปฏิบัติงาน กำหนดให้มีระบบการกำกับติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง มีการสื่อสารนโยบายที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มดำเนินการและระหว่างดำเนินการ การจัดประชุมชี้แจงนโยบาย การเผยแพร่ข้อมูลผ่าน แอพลิเคชั่น เว็บไซต์ และเปิดช่องทางการรับฟังความคิดเห็น เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p>
รตี สงวนรัตน์
รัชนีกร เครือชารี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-03
2025-09-03
39 2
40
51
-
พัฒนารูปแบบส่งเสริมความรอบรู้ด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตเพื่อสุขภาพดี อายุยืนยาว ข้าราชการบำเหน็จบำนาญ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/6562
<p>การศึกษานี้เป็น การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิต สุขภาพดี อายุยืนยาว สำหรับข้าราชการบำเหน็จบำนาญ กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดชลบุรีและประเมินผลการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพหลังได้รับการส่งเสริมความรอบรู้ฯ โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 วิเคราะห์สถานการณ์และภาวะสุขภาพ ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านเวชศาสตร์วิถีชีวิตสุขภาพดี ระยะที่ 3 ประเมินผลรูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ฯ กลุ่มตัวอย่างเป็นข้าราชการบำเหน็จบำนาญกระทรวงสาธารณสุข จังหวัดชลบุรี 130 คน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2568 โดยใช้กระบวนการสนทนากลุ่ม แบบประเมินพฤติกรรมฯ แผนการตั้งเป้าหมายการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แบบบันทึกสุขภาพ แบบติดตามรายบุคคล และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย Paired t – test และข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมเสี่ยงสูงสุด ด้านการออกกำลังกายร้อยละ 76.92 รองลงมาด้านคุณภาพการนอนหลับร้อยละ 73.85 มีแผนตั้งเป้าหมายการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมากที่สุด ในด้านการกิน ร้อยละ 93.1 รองลงมา ด้านการออกกำลังกาย ร้อยละ 87.9 มีความต้องการการรวมกลุ่มและการมีส่วนร่วมของเครือข่ายที่เข้มแข็ง มีช่องทางการเข้ารับบริการเข้าถึงได้ง่าย<strong> </strong><strong>1.</strong><strong>รูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ด้านเวชศาสตร์<br>วิถีชีวิตฯ ที่พัฒนาขึ้น </strong>ประกอบด้วย 1) กำหนดนโยบายและทิศทางที่ชัดเจน 2) สร้างความเข้มแข็งเครือข่ายแกนนำผู้เกษียณ 3) ผลักดันการสื่อสารสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ 4) พัฒนากระบวนการเสริมสร้างความรอบรู้ระดับบุคคลและกลุ่ม 5) เสริมสร้างการมีส่วนร่วมกิจกรรมสุขภาพดี <strong>2</strong>.<strong>ผลการประเมินรูปแบบการส่งเสริมความรอบรู้ฯ</strong> พบว่า ในระดับบุคคลส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น สอดคล้องกับแผนเป้าหมายการปรับพฤติกรรม เปรียบเทียบค่าคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพฯก่อนและหลัง พบว่า ด้านการออกกำลังกาย ด้านการนอน ด้านจิตใจและด้านความสัมพันธ์ มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.05) มีความพึงพอใจต่อรูปแบบฯ ในระดับปานกลางถึงมากร้อยละ 81.03</p> <p><strong> </strong><strong>ข้อเสนอแนะ</strong> (1) เสริมสร้างแกนนำตามธรรมชาติและพี่เลี้ยงสุขภาพแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” (2) สร้างกระแสขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (3) ขยายผลบุคคลต้นแบบ</p>
รัก ธนะไพบูลย์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-09-03
2025-09-03
39 2
52
64