วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง) https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6 <p>วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคกลาง) เป็นวารสารวิชาการของ ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6จัดทำขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมและเผยแพร่ผลงานวิจัย ผลงานวิชาการ รวมทั้งเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ด้านการสาธารณสุขมูลฐาน ด้านการสาธารณสุข และด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคท้องถิ่น และภาคประชาชน โดยเผยแพร่ทางออนไลน์ปีละ 3 ฉบับ</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6 </p> <p>ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6 และบุคลากรท่านอื่น ในศูนย์ฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว</p> ssmphc2020@gmail.com (ปิยะฉัตร ปาลานุสรณ์) ssmphc2020@gmail.com (กมลชนก สหุนาฬุ) Wed, 15 Jan 2025 16:01:02 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 บทบรรณาธิการ https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3993 ฉัตรฑริกา ผินจัตุรัส Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3993 Wed, 15 Jan 2025 00:00:00 +0700 การวิเคราะห์ปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์อิสระในเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ ของร้านหมูกระทะในเขตสุขภาพที่ 6 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3994 <p>ฟอร์มาลดีไฮด์ เป็นสารประกอบอินทรีย์ มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ในทางการค้านิยมใช้อยู่ในรูปของ สารละลายสารฟอร์มาลีน มักมีการนําสารฟอร์มาลีนมาใช้ใส่ลงในอาหาร เพื่อทําให้อาหารสดและน่ารับประทาน โดยปกติแล้วร่างกายของคนเราสามารถกําจัดสารฟอร์มาลีนได้ แต่ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไปจะเป็นอันตราย ต่อร่างกาย เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเฉียบพลัน ทําให้ปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน ท้องเสีย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสํารวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์อิสระในเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ของร้านหมูกระทะในเขตสุขภาพที่ 6 สุ่มเก็บตัวอย่างจากร้านหมูกระทะในแต่ละ อําเภอของจังหวัดชลบุรี ปราจีนบุรี ระยอง สมุทรปราการ และสระแก้ว จํานวน 180 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์ หาปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์อิสระด้วยเครื่อง High Performance Liquid Chromatograph (HPLC) - UV detector วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า มีฟอร์มาลดีไฮด์อิสระปนเปื้อนใน ตัวอย่างอาหาร จํานวน 70 ตัวอย่าง ได้แก่ หมึกกรอบ 44 ตัวอย่าง (ร้อยละ 86.30, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">=241 Mg/Kg, Max=647 Mg/Kg, Min=22 Mg/Kg) สไบนาง 25 ตัวอย่าง (ร้อยละ 92.60, <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation">=539 Mg/Kg, Max=1,934 Mg/Kg, Min=11 Mg/Kg) และอาหารทะเลอื่นๆ (หมึกสด) 1 ตัวอย่าง (ร้อยละ 5.30, Max=7 Mg/Kg) ได้ส่งต่อผลการ วิจัยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดําเนินการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหาร สําหรับประชาชนผู้บริโภคต่อไป</p> เสาวนีย์ เวียงนิล, ธันยาภรณ์ วงษ์ศรี, ขนิษฐา พุทธสุขา Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3994 Wed, 15 Jan 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสร้างเสริมสุขภาพของอาสาสมัคร สาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3995 <p>การวิจัยเชิงพรรณนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของอาสาสมัคร สาธารณสุขประจําหมู่บ้านและปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จํานวน 195 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พอยท์ ไบซีเรียลและสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <br>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 73.3 มีอายุระหว่าง 46–59 ปี อายุเฉลี่ย 48.6 ปี มีอาชีพเกษตรกรร้อยละ 50.2 และจบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 52.3 ส่วนใหญ่ไม่มีโรค ประจําตัว ร้อยละ 86.7 2) กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี (M = 64.9, SD = 6.01) ) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ การรับรู้สมรรถนะของตนเองต่อพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ (r = .345, p&lt; .001) การรับรู้อุปสรรคของพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ (r = -.317, p &lt; .001) เพศ (r = .301, p &lt; .001) การรับรู้ประโยชน์ของพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ (r = .298, p &lt; .001) การรับรู้แรงสนับสนุนทาง สังคมต่อพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ (r = .274, p &lt; .001) ระดับการศึกษา (r = .131, p = .034) และระยะเวลาการเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข (r = .118, p = .050) <br>จากผลการวิจัยครั้งนี้เป็นแนวทางให้พยาบาลเวชปฏิบัติชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใช้ในการพัฒนา พฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของ อสม. โดยเน้นการเสริมสร้างการรับรู้สมรรถนะของตนเองและการรับรู้ประโยชน์ ของพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของครอบครัวเกี่ยวกับพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ</p> สุทัศน์ ทองชัย Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3995 Wed, 15 Jan 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมในการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง เขตพื้นที่ตําบลบางน้ําจืด อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3996 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสํารวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ในเขตพื้นที่ตําบลบางน้ําจืด อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างกําหนดขนาดจากสูตรของ Taro Yamane ได้จํานวน 190 คน สุ่มตัวอย่างด้วยการสุ่มแบบโควต้า เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม 3 ส่วน 1) ปัจจัย ส่วนบุคคล 2) พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ด้านความรู้ ความเชื่อ และการปฏิบัติตัวเพื่อลดโอกาส เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 3) ประสบการณ์การได้รับข้อมูลข่าวสาร และแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับโรค หลอดเลือดสมอง ได้ค่าความเชื่อมั่น (IOC) มากกว่า 0.8 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ Eta<br>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมีพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองด้านความรู้อยู่ใน ระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 9.32, SD.=1.52) ด้านความเชื่ออยู่ในระดับสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 16.48, SD.=2.26) และด้านการ ปฏิบัติเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 12.10, (SD.=1.95) และ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ด้านความรู้ในการป้องกันโรคหลอดเลือด สมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง มีความสัมพันธ์กับสถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ การมีโรคร่วม และการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) ด้านความเชื่อของผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง มีความสัมพันธ์กับสถานภาพสมรส การมีโรคร่วม และการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05) และการปฏิบัติเพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง มีความสัมพันธ์กับเพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ประวัติการรักษาโรคความดันโลหิตสูง ประวัติการสูบบุหรี่ และการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (p &lt; 0.05)<br>ข้อเสนอแนะ ควรมีการรณรงค์ส่งเสริมผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงให้เกิดความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง จัดกิจกรรมการเรียนรู้และสื่อต่างๆ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและตระหนักรู้ในโรคหลอดเลือดสมองมากขึ้น</p> ณิชากานต์ งามพรนพคุณ Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3996 Wed, 15 Jan 2025 00:00:00 +0700 การศึกษาความต้องการของผู้ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ในเขตพื้นที่โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านบางหญ้าแพรก อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3997 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อมูลทั่วไป ระดับความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วย ความต้องการของผู้ดูแลผู้ป่วย และการปฏิบัติตามบทบาทการทํางานของผู้ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ในเขตพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบลบ้านบางหญ้าแพรก อําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในเขตพื้นที่คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงในแต่ละหมู่บ้าน ทั้งหมดจํานวน 29 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของ ผู้ดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง 2) แบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง 3) แบบสอบถาม ความต้องการในการดูแลสุขภาพผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และ 4) แบบสอบถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตามบทบาท ผู้ดูแลในการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง ซึ่งวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 72.41 อายุระหว่าง 40 - 49 ปี ร้อยละ 55.17 อายุเฉลี่ย 47.48 ปี จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษา ร้อยละ 31.03 ความสัมพันธ์ของผู้ดูแลเป็นบุตร ร้อยละ 65.52 และระยะเวลาในการดูแลผู้ป่วยอยู่ในช่วง 1 - 3 ปี ร้อยละ 65.52 ระยะเวลาเฉลี่ย 3.34 ปี โดย ผู้ดูแลมีระดับความรู้เรื่องการดูแลอยู่ในระดับดีมาก ร้อยละ 58.62 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 16.34, SD. = 1.67) ความต้องการของผู้ดูแลอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.31, SD.= 0.98) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านข้อมูลข่าวสาร และด้านค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.77, SD. = 0.74) และ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.72, SD.= 0.84) ตามลําดับ ส่วนด้านการดูแลสุขภาพ และด้านสภาพแวดล้อมและการจัดการภายในบ้านอยู่ในระดับปานกลาง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 3.28, SD. = 0.93) และ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 2.60, SD. = 1.10) ตามลําดับ และด้านการปฏิบัติตามบทบาทการทํางานอยู่ในระดับสูง ร้อยละ 65.52 (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation"> = 63.69, SD. = 4.34)<br>ข้อเสนอแนะ ควรมีการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่จําเป็นสําหรับการดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง และควรมีการสนับสนุนด้านการดูแลตนเอง ทั้งในเรื่องการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือตนเองของผู้ป่วย การสนับสนุนจากสังคม เพื่อช่วยด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และการพัฒนาทักษะในการดูแลที่ดีให้กับผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงมากขึ้น</p> ทองทิพย์ เทียนสว่าง Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3997 Wed, 15 Jan 2025 00:00:00 +0700 พัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพวิถีใหม่ของ อสม.หมอประจําบ้าน ในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) ยุคดิจิทัล https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3998 <p>การวิจัยเรื่อง พัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพวิถีชีวิตใหม่ของ อสม.หมอประจําบ้าน ในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) ยุคดิจิทัล เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพวิถีชีวิตใหม่ของ อสม.หมอประจําบ้าน ในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) ยุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจงประกอบด้วย อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) จํานวน 40 คน ผู้รับบริการ จํานวน 40 คน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข จํานวน 20 คน การดําเนินการวิจัยมี 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การวางแผน 2) การปฏิบัติและการสังเกต 3) การสะท้อนการปฏิบัติ และ 4) การปรับปรุงแผน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก ระยะเวลาในการศึกษาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 - มีนาคม 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บ ข้อมูลประกอบด้วย แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลการแจกแจงค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ข้อมูลเชิงคุณภาพ วิเคราะห์โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา<br>ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพวิถีชีวิตใหม่ของ อสม.หมอประจําบ้าน ในศูนย์ สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) ยุคดิจิทัล ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนคือ 1) ขั้นเตรียมความพร้อม 2) ขั้นตอนการจัดบริการ 3) ขั้นเยี่ยมบ้าน 4) ขั้นติดตามและประเมินผล 5) ขั้นดูแลตนเอง ผลการนํารูปแบบที่สร้างขึ้นไปพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อการขยายผล พบว่า อสม.ได้รับการพัฒนาศักยภาพให้มี ความรู้และทักษะในการนําดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพเบื้องต้น สามารถจัดบริการและดูแลผู้ป่วยในชุมชนได้ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ<br>ข้อเสนอแนะต่อนโยบาย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โรงพยาบาล และองค์กรชุมชน ควรมีนโยบายสนับสนุนการดําเนินงานของศูนย์สาธารณสุข มูลฐานชุมชน (ศสมช.) ให้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานของ อสม.ในการจัดบริการสุขภาพเบื้องต้นให้กับชุมชน และร่วมกันจัดทําแผนงาน โครงการ แนวทางในการดูแลช่วยเหลือ รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณในการดําเนินงาน และนํารูปแบบนี้ไปใช้ในการพัฒนาศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) ในพื้นที่อื่นต่อไป</p> ชลกร ภู่สกุลสุข, เพ็ญศรี โตเทศ, วีณาพร สําอางศรี, อัจจ์สุภา รอบคอบ, พิพัฒนพล พินิจดี Copyright (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/Hss6/article/view/3998 Wed, 15 Jan 2025 00:00:00 +0700