https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JNHSE/issue/feed
วารสารการพยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพและการศึกษา
2025-08-31T22:12:52+07:00
ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิราภรณ์ นันท์ชัย
nursingjournal@crc.ac.th
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารการพยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพและการศึกษา</strong></p> <p><strong>E-ISSN:</strong></p> <p><strong>กำหนดออก </strong><strong>:</strong> 3 ฉบับต่อปี ดังนี้ ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ </strong><strong>: </strong>วารสารฯ มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความคุณภาพสูงในด้านการพยาบาล วิทยาศาสตร์สุขภาพ และการศึกษา โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป</p>
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JNHSE/article/view/6181
การใช้ยาปฏิชีวนะตามขอบเขตพยาบาลเวชปฏิบัติ
2025-07-03T15:40:02+07:00
ภรัญยู สุภาตา
aganeno@gmail.com
<p>ยาปฏิชีวนะ (Antibiotic drugs) เป็นกลุ่มยารักษาโรค หรือความเจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อจุลชีพ โดยต้องเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือบุคคลากรทางการแพทย์บางสาขาเท่านั้นที่สามารถให้ยาในการบำบัดรักษาได้ พยาบาลเวชปฏิบัติเป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถดำเนินการตรวจวินิจฉัย รักษาโรคเบื้องต้นโดยการใช้ยาปฏิชีวนะ ตามประกาศสภาการพยาบาล เรื่องกำหนดรายการยาและสารวินิจฉัยสำหรับพยาบาลวิชาชีพ และพยาบาลเวชปฏิบัติในการรักษาโรคเบื้องต้น พ.ศ.2565<sup>1</sup> บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และทบทวนสำหรับพยาบาลเวชปฏิบัติให้เกิดความรู้ความเข้าใจในกลุ่มยาปฏิชีวนะ กลไกการออกฤทธิ์ ผลข้างเคียงที่สำคัญ ขนาดของยาในการบำบัดรักษาโรคที่พบบ่อย ตามขอบเขตของตามขอบเขตพยาบาลเวชปฏิบัติ เพื่อให้ผู้รับบริการสุขภาพได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เกิดความปลอดภัยในการได้รับยา และเพื่อให้เกิดมาตรฐานที่ดีในกระบวนการรักษาโรคเบื้องต้นของพยาบาลเวชปฏิบัติต่อไป</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JNHSE/article/view/6179
แนวทางการส่งเสริมการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงผ่านระบบการส่งมอบยาของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน: บทบาทพยาบาลชุมชน
2025-07-30T09:26:21+07:00
ปรีดา สุทธิประภา
preeda.sutthiprapa@crc.ac.th
รัตติกร สุทธิประภา
ratthikorn.k@gmail.com
<p>โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งทั่วโลกและในประเทศไทย ซึ่งผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น หัวใจและหลอดเลือด สมอง ตา เป็นต้น ซึ่งมีผลทำให้อัตราการเสียชีวิตที่สูง โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เกิดได้จาก พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การขาดการรับประทานยาต่อเนื่อง การหยุดรับประทานยาเอง การขาดนัดด้วยข้อจำกัดในการเดินทาง หรือการขาดการรับคำแนะนำจากแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างเพียงพอ บทบาทของพยาบาลชุมชนมีหน้าที่ในการดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ในสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ ตามรายการยาและสารวินิจฉัยสำหรับพยาบาลวิชาชีพและพยาบาลเวชปฏิบัติในการรักษาโรคเบื้องต้น แต่ด้วยจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น และมีผู้ป่วยที่เข้าไม่ถึงการรักษาด้วยสาเหตุหรือข้อจำกัดต่างๆ จึงทำให้มีผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยาอย่างต่อเนื่องและมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จึงมีความจำเป็นในการเข้ามามีบทบาทในการดูแลผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน รวมถึงการส่งมอบยาที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยบริการปฐมภูมิให้กับผู้ป่วย ภายใต้การดูแลของพยาบาลชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในชุมชน ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JNHSE/article/view/5776
แนวทางการส่งเสริมความรู้เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มเกษตรกร: บทบาทพยาบาลเชิงรุก
2025-06-09T12:48:26+07:00
ปิยาภรณ์ เพ็ญประไพ
anny.anny555555@gmail.com
รัตนากร เจริญกุล
ratanakhorn.chareonkul@crc.ac.th
<p>ประเทศไทยมีการนำเข้าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการผลิตทางการเกษตรและเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือนของประชาชน ส่งผลให้เกษตรกรเกิดปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรที่มีความเสี่ยงสูงต่อการได้รับพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เนื่องจากเป็นผู้ใช้และสัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทางการเกษตรโดยตรง สารเคมีกำจัดศัตรูพืชแบ่งเป็น สารกำจัดแมลง สารกำจัดหนูและสัตว์ฟันแทะ สารกำจัดวัชพืช และสารกำจัดเชื้อรา พิษของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แบ่งเป็นพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรัง โดยพิษเฉียบพลันมีอาการเล็กน้อยจากการระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ ผิวหนัง ไปจนถึงอาการรุนแรงทำให้ระบบหายใจล้มเหลวจนถึงเสียชีวิต นอกจากนี้พิษเรื้อรังอาจก่อให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม ส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ การก่อโรคมะเร็ง พยาบาลทำหน้าที่ในการสร้างเสริม ป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสุขภาพของเกษตร โดยเฉพาะการให้ความรู้ในการป้องกันพิษจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่ถูกต้องในเรื่องการเลือกใช้ การเตรียม และการใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช รวมทั้งการเก็บรักษาและการทำลายภาชนะ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อได้รับสารพิษ และการส่งต่อการรักษากรณีที่เกิดการเจ็บป่วยรุนแรง นอกจากนี้ พยาบาลยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ และให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เกษตรกร การเสนอทางเลือกในการเลือกใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช จะช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยจากพิษของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และเสริมสร้างความปลอดภัยด้านสุขภาพให้กับเกษตรกร</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JNHSE/article/view/6184
ความเครียดและการเผชิญความเครียดในผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย
2025-07-14T10:40:32+07:00
สาวิตรี จีระยา
sawitri.jeeraya@crc.ac.th
ปาริชาต ปัญญา
parichat.imocha@crc.ac.th
พนิดา ชัยวัง
panida.chaiwang@crc.ac.th
พัชราวรรณ แก้วกันทะ
patcharawan.kaewkanta@crc.ac.th
<p>ประเทศไทยเป็นประเทศที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว โดยมีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นร้อยละ 20.99 ของประชากรไทยทั้งประเทศ ส่งผลให้ปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นภาวะที่อาจนำไปสู่สมองเสื่อมหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม ซึ่งการเกิดความเครียดจะเพิ่มความเสี่ยงของความบกพร่องทางสติปัญญาและภาวะสมองเสื่อม จากความสามารถทางสมองที่เสื่อมลง ทั้งด้านความจำ ด้านการใช้เหตุผล การวางแผน หรือการแก้ไขปัญหา สมาธิจดจ่อ เช่น เสียสมาธิได้ง่าย ด้านภาษา ด้านการรับรู้ทางสายตา ซึ่งความเครียดยังเพิ่มความเสี่ยงการเกิดภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล งานวิจัยหลายฉบับรายงานว่าความเครียดมีบทบาทสำคัญต่อการเสื่อมของสมอง โดยเฉพาะระดับคอร์ติซอลที่สูงจากความเครียดเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสมองส่วนฮิปโปแคมปัสที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับความจำและการเรียนรู้ รวมทั้งผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องมักใช้รูปแบบการเผชิญความเครียดที่ไม่เหมาะสม เช่น การหลีกเลี่ยงหรือระบายอารมณ์มากกว่าการเผชิญปัญหาโดยตรง เป็นต้น ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเครียดและการเผชิญความเครียดในผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย ประกอบด้วย 5 ปัจจัย ได้แก่ 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศหญิง การเป็นหม้าย และการมีโรคเรื้อรัง 2) ปัจจัยทางสรีรวิทยา ได้แก่ คอร์ติซอลในระดับสูงจากความเครียดเรื้อรัง 3) สภาพจิตใจและอารมณ์ ได้แก่ ความวิตกกังวลจากการสูญเสีย 4) การถูกตีตราทางสังคมเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อม และ 5) การได้รับสารหรือยาที่มีผลต่อจิตประสาท ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้การรู้คิดบกพร่องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับความเครียดและการเผชิญความเครียด และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและการเผชิญความเครียดในผู้สูงอายุที่มีการรู้คิดบกพร่อง รวมถึงบทบาทของพยาบาลในการประเมิน ส่งเสริม และสนับสนุนให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของสมองและส่งเสริมคุณภาพชีวิตในระยะยาว</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JNHSE/article/view/5584
ประสิทธิผลของการใช้โปรแกรมการเตรียมก่อนผ่าตัด ต่อความรู้ และความสามารถในการปฏิบัติตัวหลังทำผ่าตัดต้อกระจกใส่เลนส์เทียมแบบวันเดียวกลับในผู้ป่วยและผู้ดูแล
2025-07-29T09:47:44+07:00
กาญจนา คุ้มภัย
kungkanjana@gmail.com
พัชรินทร์ สังวาลย์
patcharin.su@up.ac.th
<p>การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยความรู้ และความสามารถในการปฏิบัติตัวหลังทำผ่าตัดต้อกระจกใส่เลนส์เทียมแบบวันเดียวกลับในผู้ป่วยและผู้ดูแลของโรงพยาบาลเลิดสิน กลุ่มทดลองได้รับคลิปวิดีโอแอปพลิเคชันไปศึกษาที่บ้าน ขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการดูคลิปวิดีโอในวันผ่าตัด กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วย จำนวน 150 ราย ที่เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกใส่เลนส์เทียมแบบวันเดียวกลับ แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 75 คน ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม พ.ศ. 2566 โดยใช้แบบประเมินความรู้ในการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดต้อกระจก และแบบสอบถามความสามารถในการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดต้อกระจก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์เปรียบเทียบภายในกลุ่มโดยใช้สถิติ dependent t-test และเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มด้วย independent t-test</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนความรู้และความสามารถในการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดต้อกระจกสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .01) ดังนั้นการให้ข้อมูลผ่านคลิปวิดีโอแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถเรียนรู้ซ้ำได้ มีประสิทธิภาพในการเพิ่มพูนความเข้าใจและส่งเสริมการดูแลตนเองหลังการผ่าตัดต้อกระจำในผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 คณะพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยเชียงราย
https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JNHSE/article/view/6552
สารจากบรรณาธิการ
2025-08-31T22:12:52+07:00
จิราภรณ์ นันท์ชัย
nursingjournal@crc.ac.th
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025