วารสารวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพลายสือไทย https://he05.tci-thaijo.org/index.php/LHIJ <p><strong>วารสารวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพลายสือไทย</strong></p> <p><strong>ISSN:</strong> 3057-1669 (Online)</p> <p><strong>กำหนดออก :</strong> 4 ฉบับ ต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม-มีนาคม<br />, ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน, ฉบับที่ 3 กรกฎาคม-กันยายน, ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม.</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร:</strong> วารสารวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพลายสือไทย เป็นวารสารของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความวิจัยคุณภาพสูงในด้านสาธารณสุขศาสตร์ ด้านเภสัชศาสตร์ ด้านการพยาบาล ด้านการแพทย์ ด้านแพทย์แผนไทย ด้านทันตกรรม และสาขาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ, บทความวิชาการ, รายงานสอบสวนโรคฉบับสมบูรณ์</p> <p>รายละเอียดการส่งบทความ สามารถดูรายละเอียดได้ในหัวข้อ "การส่งบทความ"</p> <p>ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</p> th-TH <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ถือเป็นสมบัติของวารสารวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพลายสือไทยจะนําไปตีพิมพ์อีกไม่ได้</p> journal_sukhothai@outlook.com (แพทย์หญิงธัญญารัตน์ สิทธิวงศ์ (Dr.Thanyarat Sitthiwong)) journal_sukhothai@outlook.com (ดร.ภญ.วิลาสินี หงสนันทน์ (Dr. Wilasinee Hongsanun) ) Thu, 06 Nov 2025 09:17:03 +0700 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ผลของโปรแกรมการพัฒนาบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อดูแลภาวะฉุกเฉินในชุมชน อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ https://he05.tci-thaijo.org/index.php/LHIJ/article/view/6665 <p>การพัฒนาระบบบริการการฉุกเฉินให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายและขยายองค์ความรู้การปฐมพยาบาลการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้นเข้าสู่ชุมชน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยลดอัตราการบาดเจ็บ ความพิการ และการเสียชีวิต การวิจัยครั้งนี้เป็นศึกษาแบบกึ่งทดลอง โดยใช้แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรู้เกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน การปฐมพยาบาลเบื้องต้นและทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน ของบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ก่อนและหลังการใช้โปรแกรม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความรู้ ทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน และการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จากบุคลากรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และประเมินผลรูปแบบโดยใช้สถิติ Paired t-test ผลการวิจัยพบว่า ก่อนใช้รูปแบบบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่วนใหญ่มีความรู้ ในระดับปานกลาง ร้อยละ 54.35 รองมา คือ มีความรู้ ในระดับสูง ร้อยละ 45.65 ด้านทักษะเกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน มีทักษะการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 82.61 รองมาคือ มีทักษะการปฏิบัติ ในระดับน้อย ร้อยละ 8.69 หลังการใช้โปรแกรมกลุ่มตัวอย่างมีความรู้มากกว่าก่อนการใช้โปรแกรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.001) ทักษะการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานระดับการปฏิบัติถูกต้องเพิ่มมากขึ้นในทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P&lt;0.001) โดยสรุป โปรแกรมการพัฒนาบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินในชุมชน มีประสิทธิภาพ กลุ่มตัวอย่างมีความรู้เกี่ยวกับการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และทักษะการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้น ดังนั้น ควรศึกษาการใช้โปรแกรมใน อสม. หรือผู้นำชุมชน เพื่อให้สามารถช่วยเหลือคนในชุมชนเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน นำผลการวิจัยไปพัฒนาบุคลากรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอำเภออื่นๆ ในจังหวัดอุตรดิตถ์ต่อไป</p> วิลัยวัลย์ บุคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพลายสือไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/LHIJ/article/view/6665 Mon, 24 Nov 2025 00:00:00 +0700 ผลของการให้ความรู้และคำปรึกษาโดยเภสัชกรร่วมกับการติดตามทางโทรศัพท์ต่อความร่วมมือในการรักษาและความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ https://he05.tci-thaijo.org/index.php/LHIJ/article/view/6489 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง ชนิดกลุ่มเดียว วัดก่อนและหลังการทดลอง เพื่อศึกษาผลของการให้ความรู้และคำปรึกษาโดยเภสัชกรร่วมกับการติดตามทางโทรศัพท์ต่อความร่วมมือในการรักษาและความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ที่ควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ได้ จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไปและข้อมูลการเจ็บป่วย แบบประเมินความรู้ แบบประเมินความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต แบบประเมินความร่วมมือในการใช้ยา เก็บข้อมูลระหว่างเดือน ธันวาคม 2567 - มีนาคม 2568 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired t-test Wilcoxon Signed Ranks test และ McNemar test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05ผลการวิจัยพบว่า คะแนนความรู้ คะแนนความร่วมมือในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต สัดส่วนความร่วมมือในการใช้ยา หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ขณะที่ค่าเฉลี่ยระดับความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกหลังการทดลองลดลงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้นการให้ความรู้และคำปรึกษาโดยเภสัชกรร่วมกับการติดตามทางโทรศัพท์มีประโยชน์ต่อการส่งเสริมความร่วมมือในการรักษาและระดับความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ในสถานบริการปฐมภูมิ</p> สุกัญญา คำผา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพลายสือไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/LHIJ/article/view/6489 Thu, 06 Nov 2025 00:00:00 +0700 ความชุกและปัจจัยเสี่ยงของภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย https://he05.tci-thaijo.org/index.php/LHIJ/article/view/6494 <p>ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และ เป็นสาเหตุสำคัญของการสูญเสียการมองเห็น โรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัยมีอัตราผู้ป่วยเบาหวานสูงที่สุดในจังหวัดสุโขทัย แต่ยังไม่มีข้อมูลความชุกและปัจจัยเสี่ยงของประชากรในกลุ่มนี้ การศึกษานี้เป็นการศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความชุกและวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย โดยเก็บข้อมูลเวชระเบียนของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ได้รับการตรวจคัดกรองภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในปี พ.ศ. 2567 จำนวน 1,178 ราย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา โดยใช้ Univariable Logistic Regression และ Multiple logistic regression ผลการศึกษาพบ ความชุกของภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ร้อยละ 7.2 แบ่งเป็นระยะแรก ร้อยละ 6.3 และระยะที่มีเส้นเลือดงอกใหม่ ร้อยละ 0.9 ปัจจัยที่มีความเสี่ยงกับภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตา ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือดสะสมมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 7.0 (aOR = 7.67, 95% CI = 4.22-13.94, p &lt; 0.001), ครีอะตินินในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 1.3 มก./ดล. (aOR = 2.61, 95% CI = 1.47-4.63, p &lt; 0.001), คอเลสเตอรอลมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. (aOR = 1.67, 95% CI = 1.00-2.79, p = 0.046) และอายุมากกว่า 70 ปี (aOR = 0.35, 95% CI = 0.13–0.96, p = 0.043) ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ภาวะเบาหวานขึ้นจอประสาทตาในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความสัมพันธ์กับระดับน้ำตาลในเลือดสะสม, คอเลสเตอรอล และในกลุ่มอายุมากกว่า 70 ปี </p> <p>ดังนั้น การป้องกันและลดความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนทางจอประสาทตา ผู้ป่วยควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเข้มงวดและมีการติดตามการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอายุน้อยกว่า 70 ปี</p> อังศิตา เขาเหิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิจัยและนวัตกรรมสุขภาพลายสือไทย https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/LHIJ/article/view/6494 Mon, 01 Dec 2025 00:00:00 +0700