https://he05.tci-thaijo.org/index.php/tnhsj/issue/feed วารสารแนวโน้มทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ 2025-10-11T20:25:20+07:00 ผศ.ดร.นงเยาว์ มีเทียน nongyaow.m@msu.ac.th Open Journal Systems <p><span class="textstyle13">วารสารแนวโน้มทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ </span><span class="textstyle14">เป็นวารสารวิชาการและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ โดยวารสารฉบับนี้ตีพิมพ์ บทความวิจัย และบทความวิชาการ ซึ่งจัดพิมพ์เผยแพร่ปีละ 3 ฉบับ</span><span class="textstyle15"><br /></span><strong><span class="textstyle9">วัตถุประสงค์</span></strong><span class="textstyle15"><br /> </span><span class="textstyle14"> 1. เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย นวัตกรรม ผลงานวิชาการให้แก่นักวิจัยทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ<br /> 2. เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่องค์ความรู้ และสนับสนุนการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ทางการพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ<br /> 3. เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและองค์กรสุขภาพ</span><span class="textstyle11"><br /></span><span class="textstyle9"><strong>กำหนดการออกวารสารจัดพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ</strong> ดังนี้</span><span class="textstyle15"><br /> </span><span class="textstyle14"> 1) 📃 ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน<br /> 2) 📃ฉบับที่ 2 พฤษภาคม– สิงหาคม<br /> 3) 📃ฉบับที่ 3 กันยายน - ธันวาคม</span></p> https://he05.tci-thaijo.org/index.php/tnhsj/article/view/6645 เทคนิคการเขียนแผนที่มโนทัศน์สำหรับการวางแผนการพยาบาล : จากประสบการณ์สู่การนำไปใช้ในคลินิก 2025-09-23T12:42:08+07:00 อนุชา ไทยวงษ์ anucha@smnc.ac.th กำทร ดานา anucha@smnc.ac.th ดิษฐพล ใจซื่อ anucha@smnc.ac.th กัญญาพัชร บัณฑิตถาวร anucha@smnc.ac.th <p>การวางแผนการพยาบาลเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างเป็นพลวัตรและซับซ้อนเพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย จำเป็นต้องอาศัยทั้งทักษะ ประสบการณ์ และองค์ความรู้ที่เฉพาะทางการพยาบาล การเขียนแผนที่มโนทัศน์เป็นเครื่องมือทางเลือกหนึ่งที่สำคัญ ช่วยให้พยาบาลสามารถเข้าใจปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนของผู้ป่วยเฉพาะรายและวางแผนการพยาบาลที่สอดคล้องกับสภาพปัญหายิ่งขึ้น เนื่องจากมีการเชื่อมโยงความเป็นเหตุและผลที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ทั้งจากประวัติสุขภาพ ประวัติการเจ็บป่วย การตรวจร่างกาย ยาและแผนการรักษา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจพิเศษ สู่การวินิจฉัยทางการพยาบาล ช่วยให้สามารถวางแผนกิจกรรมพยาบาลได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และครอบคลุม สามารถแก้ไขปัญหาสุขภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเทคนิคการเขียนแผนที่มโนทัศน์สำหรับสำหรับวางแผนการพยาบาลจากประสบการณ์ของผู้เขียน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการวางแผนการพยาบาลผู้ป่วยในคลินิก สาระสำคัญประกอบด้วย บทนำ ลักษณะของแผนที่มโนทัศน์สำหรับสำหรับวางแผนการพยาบาลที่ดี กลวิธีและเทคนิคการเขียนแผนที่มโนทัศน์สำหรับสำหรับวางแผนการพยาบาล พร้อมทั้งยกตัวอย่างการเขียนแผนที่มโนทัศน์ที่น่าสนใจ อันจะเป็นประโยชน์สำหรับพยาบาลวิชาชีพ นักศึกษาพยาบาล และผู้สนใจ เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการดูแลผู้ป่วย</p> 2025-09-22T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/tnhsj/article/view/6565 รูปแบบการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน : กรณีศึกษา ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น 2025-09-04T16:56:48+07:00 ปานรดา ปิติอรทัย parnrada22@gmail.com นัยนา สุแพง parnrada22@gmail.com มณฑิรา ชนะกาญจน์ parnrada22@gmail.com ประนอม แก้วแดง parnrada22@gmail.com มานิตย์ เกตุบัวขาว parnrada22@gmail.com <p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพบริบทของชุมชน 2) พัฒนารูปแบบการบำบัดฟื้นฟู และ 3) ประเมินผลการดำเนินงาน ศึกษาในตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ระหว่างกุมภาพันธ์ 2567 – เมษายน 2568 กลุ่มตัวอย่างคือผู้เสพยาเสพติด 49 คน และผู้ดูแลในชุมชน 48 คน เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณโดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งโครงสร้าง การสนทนากลุ่ม การสังเกต และแบบประเมินแรงจูงใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p>ระยะที่ 1 พบว่าผู้เสพติดส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงาน ใช้สารเสพติดหลายชนิด ขาดความเข้าใจภาวะเสพติด ไม่สามารถควบคุมความอยากยา และชุมชนมีความร่วมมือน้อย ระยะที่ 2 พัฒนาและทดลองใช้เครื่องมือบำบัด โดยผู้เสพ 21 คน ได้รับการดูแลที่บ้าน และผู้ติด 28 คน เข้าร่วมบำบัดกลุ่ม 8 ครั้ง ร่วมกับฝึกปฏิบัติที่บ้าน ระยะที่ 3 ประเมินหลัง 3 เดือน พบผู้เสพทั้งสองกลุ่มมีการกลับไปเสพซ้ำ ชุมชนจึงพัฒนารูปแบบวงล้อที่ 2 และนำผู้เสพซ้ำ 10 คนจากวงล้อแรกเข้าบำบัดเพิ่มเติม ผลติดตาม 6 เดือน พบว่าหยุดเสพได้ทั้งหมด นอกจากบำบัดในชุมชนแล้ว ศูนย์แห่งนี้ยังทำหน้าที่เป็นแหล่งเรียนรู้ต้นแบบและรองรับการฟื้นฟูผู้ผ่านการบำบัดจากชุมชนอื่น</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/tnhsj/article/view/6644 การพยาบาลผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหักและมีโรคร่วม: กรณีศึกษา 2 ราย 2025-09-23T12:36:11+07:00 ชมนภัส นราศร khanittha.r@msu.ac.th <p>การศึกษาเปรียบเทียบเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหักและมีโรคร่วม เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบบันทึกข้อมูล แบบประเมินของกอร์ดอน แบบประเมินโอเร็ม ทบทวนและเรียบเรียงข้อมูลเวชระเบียนผู้ป่วย ศึกษาประวัติผู้ป่วย ทำการวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์เปรียบเทียบ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหักและมีโรคร่วม พบปัญหาที่แตกต่างกันของภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ดังนี้ กรณีศึกษาที่ 1 พบปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังด้านร่างกาย ได้แก่ ภาวะพร่องออกซิเจน การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ของเสียคั่งจากภาวะไตวายเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะแทรกซ้อนจากการนอนนาน ไม่สุขสบายจากปวดสะโพก และด้านจิตใจจากความวิตกกังวล ซึ่งสาเหตุมาจากพยาธิสภาพของโรคจากการบาดเจ็บครั้งนี้ร่วมกับโรคร่วมที่มีอยู่ ส่วนกรณีศึกษาที่ 2 พบปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังด้านร่างกาย ได้แก่ ภาวะซ็อกจากการติดเชื้อ ภาวะพร่องออกซิเจน ภาวะการบีบตัวของหัวใจ ภาวะแทรกซ้อนจากการนอนนาน ไม่สุขสบายจากปวดสะโพก และด้านจิตใจจากความวิตกกังวล ซึ่งสาเหตุมาจากพยาธิสภาพของโรคจากการบาดเจ็บครั้งนี้ร่วมกับโรคร่วมที่มีอยู่เช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าพยาบาลเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลเพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาพยาบาลที่รวดเร็ว ปลอดภัย นอกจากนี้ยังส่งเสริมสมรรถนะพยาบาลให้สามารถดูแลผู้ป่วยสูงอายุกระดูกสะโพกหักและมีโรคร่วมได้</p> 2025-09-22T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/tnhsj/article/view/6805 การพัฒนาและเปรียบเทียบประสิทธิผลของกมลาเจลกับยาพอกเข่าตำรับกมลาต่อการลดความปวดเข่าและความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม โรงพยาบาลกมลาไสย 2025-10-11T20:16:39+07:00 สุจารี พนมเขต sm.kamalasai@gmail.com ศิราภรณ์ มหาโคตร sm.kamalasai@gmail.com <p>ข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุและกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ การรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย โดยเฉพาะการพอกยาสมุนไพร มีบทบาทสำคัญในการลดอาการปวดและบรรเทาความรุนแรงของโรค การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา กมลาเจล ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่ใช้งานสะดวกกว่า โดยคงประสิทธิผลของการรักษาไว้ และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของกมลาเจลกับยาพอกเข่าตำรับกมลาต่อการลดความปวดเข่าและความรุนแรงของโรคในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม รวมถึงศึกษาความพึงพอใจของผู้ป่วยที่ใช้กมลาเจล ดำเนินการในกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมจำนวน 54 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง (กมลาเจล) และกลุ่มเปรียบเทียบ (ยาพอกเข่าตำรับกมลา) กลุ่มละ 27 คน โดยกลุ่มทดลองใช้กมลาเจลขนาด 50 กรัม ทาบริเวณเข่าข้างที่ปวด และกลุ่มเปรียบเทียบใช้ยาพอกเข่าขนาด 50 กรัม ทาบริเวณเดียวกันเป็นเวลา 30 นาที การเก็บข้อมูลดำเนินการด้วยแบบประเมินความปวด (Visual Analog Scales) แบบประเมินความรุนแรงของโรค (Oxford Knee Score) และแบบประเมินความพึงพอใจ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กมลาเจลมีเนื้อเจลใส สีเหลือง กลิ่นไม่ฉุน ซึมซาบเร็ว ค่า pH 5 และความคงตัวดีในระยะเวลา 30 วัน หลังการทดลอง ทั้งกมลาเจลและยาพอกเข่าตำรับกมลาสามารถลดความปวดและปรับปรุงคะแนนความรุนแรงของโรคข้อเข่าเสื่อมได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ (p&gt;0.05) อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้กมลาเจลแสดงความพึงพอใจในระดับสูงสุด เน้นความสะดวกในการใช้งานและการประหยัดเวลา</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://he05.tci-thaijo.org/index.php/tnhsj/article/view/6806 การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังและติดตามหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอด ก่อนกำหนด 2025-10-11T20:25:20+07:00 อภิญญา สารภักดิ์ Apinya.kie79@gmail.com เฉิดฉวี ไกรจันทร์ Apinya.kie79@gmail.com <p>ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดเป็นสาเหตุทำให้คลอดก่อนกำหนด และส่งผลให้ทารกเสียชีวิต การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหา พัฒนารูปแบบ และประเมินผลรูปแบบ กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด 30 คน ผู้มีส่วนพัฒนารูปแบบจำนวน 13 คน เครื่องมือประกอบด้วย 2 ส่วน คือ เครื่องมือในการทำวิจัย ได้แก่ แบบสนทนากลุ่ม รูปแบบการเฝ้าระวังและติดตาม เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบวัดความรู้ภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด แบบวัดพฤติกรรมป้องกันการคลอดก่อนกำหนด แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบประเมินผลการใช้รูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ปัญหาการคลอดก่อนกำหนดเกิดจากภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดซ้ำ&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; หญิงตั้งครรภ์ขาดความรู้ในการดูแลตนเองที่บ้าน ขาดช่องทางติดต่อเจ้าหน้าที่และการติดตามอย่างใกล้ชิด รูปแบบการเฝ้าระวังและติดตาม ประกอบด้วย วางแผนจำหน่ายตามหลัก D-METHOD ให้ความรู้แบบ Brain Based Learning เฝ้าระวังผ่าน Line OA และการนัดติดตาม ผลลัพธ์พบว่า การกลับมารักษาซ้ำลดลง&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; การคลอดครบกำหนดเพิ่มขึ้น ความรู้และพฤติกรรมการป้องกันดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p-value &lt;0.001 หญิงตั้งครรภ์และทีมสหวิชาชีพมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก</p> <p>ข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยชี้ว่ารูปแบบที่พัฒนามีศักยภาพในการลดภาวะคลอดก่อนกำหนด ควรนำไปปรับใช้ในสถานพยาบาลระดับชุมชน และประยุกต์ใช้กับหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงอื่น เพื่อยืนยันความครอบคลุมของรูปแบบ</p> 2025-09-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025