ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองในผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ณ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลศรีนครินทร์
คำสำคัญ:
การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง, ผู้สูงอายุ, แผนกผู้ป่วยนอก, โรงพยาบาลศรีนครินทร์, เบาหวานชนิดที่ 2บทคัดย่อ
หลักการและวัตถุประสงค์: การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองเป็นขั้นตอนหนึ่งในการดูแลตนเองของผู้ป่วยเบาหวานที่สามารถลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปัจจุบันในประเทศไทยยังมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนหรือสัดส่วนของผู้ป่วยสูงอายุโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีการตรวจวัดระดับน้ำตาลด้วยตนเองน้อย การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินสัดส่วนการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองในผู้ป่วยสูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที 2 ที่มารับการรักษา ณ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลศรีนครินทร์
วิธีการศึกษา: การศึกษาเชิงพรรณนาภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลในช่วงเดือน เมษายน ถึง มิถุนาคม พ.ศ. 2566 ในผู้ป่วยเบาหวานสูงอายุที่มารับการตรวจและรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จำนวน 230 คน ด้วยแบบสอบถามชนิดตอบเอง มีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วย Chi-square test, Odds ratio, 95% CI, และ Binary logistic regression กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
ผลการศึกษา: อัตราการตอบกลับร้อยละ 100 (230/230) พบว่า ผู้ป่วยเบาหวานสูงอายุมีสัดส่วนของการใช้เครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง ร้อยละ 59.1 (95%CI: 0.53, 0.66) เมื่อวิเคราะห์จากจำนวนผู้ที่มีเครื่องตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดพบว่าร้อยละ 78.7 มีความถี่ในการตรวจตรวจระดับน้ำตาล 1-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และ ร้อยละ 72.8 สามารถตรวจตรวจระดับน้ำตาลด้วยตัวผู้ป่วยเองได้
ปัจจัยที่มีผลต่อการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองที่มีนัยสำคัญ คือ ระยะเวลาในการเป็นเบาหวานที่มากกว่า 20 ปี (OR 4.068, 95%CI: 1.984-8.340) และ วิธีการรักษาเบาหวานโดยใช้ Insulin (OR 4.973, 95%CI: 2.490-9.931)
สรุป : 3ใน 5 ของผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ณ แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลศรีนครินทร์มีการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง โดยระยะเวลาในการเป็นเบาหวานที่มากกว่า 20 ปี และ วิธีการรักษาโรคเบาหวานโดยใช้ Insulin เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ การไม่ทราบว่ามีวิธีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง และ ไม่กล้าตรวจเลือดเอง เป็นปัจจัยหลักที่เป็นอุปสรรคในการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตนเอง
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Thai Health Information Standards Development Center (THIS) Prevalence of Diabetes in 2021. Thai Health Profile. [online] 2021 [cited July 1, 2025] Available from: https://kku.world/mlw37s
Deepolngam J. Effect of Learning and Self-Monitoring of Blood Glucose (SMBG) Program on Glycosylate Level and Skill of using a Self-Monitoring of Blood Glucose Meter in Type 2 Diabetes Mellitus (T2DM) ThungKhoaLuang Hospital, Roi-Et. Journal of Research and Health Innovative Development 2022; 3(1): 217-28.
Moungkum S, Srisopa P, Kunsongkeit W, Ponpinij P, Wiseso W, Chantamit-O-Pas C, et al. Factors Influencing Microvascular Complications among Persons with Type 2 Diabetes. The Journal of Faculty of Nursing Burapha University 2020; 28(2): 74-84.
Chaiparinya S, Sanchaisuriya P, Deeruksa L. The Effect of Self-Monitoring of Blood Glucose on Hemoglobin A1c Levels and Health Care Behaviors in Military Staff with Non-Insulin-Treated Type 2 Diabetes, Fort Prachaksinlapakom Hospital, Udon Thani Province KKU Journal for Public Health Research 2020; 13(3): 99-109.
Martin S, Schneider B, Heinemann L, Lodwig V, Kurth HJ, Kolb H, et al. Self-monitoring of blood glucose in type 2 diabetes and long-term outcome: an epidemiological cohort study. Diabetologia 2006; 49(2): 271-8.
Mastura I, Mimi O, Piterman L, Teng CL, Wijesinha S. Self-monitoring of blood glucose among diabetes patients attending government health clinics. Med J Malaysia 2007; 62(2): 147-51.
Hu ZD, Zhang KP, Huang Y, Zhu S. Compliance to self-monitoring of blood glucose among patients with type 2 diabetes mellitus and its influential factors: a real-world cross-sectional study based on the Tencent TDF-I blood glucose monitoring platform. Mhealth 2017; 3: 25.
Ong WM, Chua SS, Ng CJ. Barriers and facilitators to self-monitoring of blood glucose in people with type 2 diabetes using insulin: a qualitative study. Patient Prefer Adherence. 2014; 8: 237-246.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ตีพิมพ์ในวารสารนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เผยแพร่ ภายใต้สัญญาอนุญาต Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0) ท่านสามารถอ่านและใช้งานบทความเหล่านี้เพื่อวัตถุประสงค์ทางวิชาการ เช่น การสอน การวิจัย หรือการอ้างอิง โดยต้องให้เกียรติแก่ผู้เขียนและวารสารอย่างเหมาะสม ห้ามนำบทความไปใช้หรือดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต ข้อความที่แสดงในบทความเป็นความคิดเห็นของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว ผู้เขียนมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อเนื้อหาและความถูกต้องของบทความ การนำไปใช้ซ้ำหรือตีพิมพ์ซ้ำอื่นๆ ต้องได้รับอนุญาตจากวารสาร