ผลการใช้รูปแบบการดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์ด้วยหลัก 4Ws ต่ออัตราการติดเชื้อและระยะเวลาการหายของแผลในผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรัง

ผู้แต่ง

  • ปติมา เชื้อตาลี คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
  • กุลรัตน์ บริรักษ์วาณิชย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์
  • ณิภากรณ์ งามภักดิ์ แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลเพชรบูรณ์

คำสำคัญ:

รูปแบบการดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์, อัตราการติดเชื้อ, ระยะเวลาการหายของแผล, แผลเรื้อรัง

บทคัดย่อ

บาดแผลเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุและโรคเบาหวาน การวิจัยกึ่งทดลองครั้งนี้เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์ด้วยหลัก 4Ws ต่ออัตราการติดเชื้อและระยะเวลาการหายของแผลในผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรัง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรังที่เข้ารับการรักษาในแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ จำนวน 70 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมได้รับการดูแลบาดแผลตามปกติ และกลุ่มทดลองได้รับการรดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์ด้วยหลัก 4Ws กลุ่มละ 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แนวทางปฏิบัติในการดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์ด้วยหลัก 4Ws ประกอบด้วย 1)Wound assessment  2)Wound care  3)Wound monitoring และ 4)Wound healing แบบบันทึกบาดแผล  PUSH Tool และ TIME เก็บรวบรวมข้อมูลในเดือนตุลาคม 2566 ถึง ธันวาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi-square และ Independent t-test

ผลการศึกษา พบว่า การใช้รูปแบบการดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์ด้วยหลัก 4Ws ลดอัตราการติดเชื้อของแผลเรื้อรังต่ำกว่าการดูแลบาดแผลตามปกติ (5.7%, 25.7%, p=0.022) ลดระยะเวลาการหายของแผล (4.3 วัน, 9.1 วัน, 95%CI 3.0-6.7, p<0.001) และลดระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (5.9 วัน, 13.2 วัน, 95% CI 2.9-11.6, p=0.002) โดยสรุปรูปแบบการดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์ด้วยหลัก 4Ws ควรนำไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรัง และขยายผลนำไปใช้ในชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยแผลเรื้อรังที่ส่วนใหญ่จะได้รับการส่งต่อกลับไปชุมชนได้รับการดูแลบาดแผลต่อเนื่องที่บ้านอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้บาดแผลหายเร็วและลดการติดเชื้อของแผลเรื้อรัง

Downloads

Download data is not yet available.

เอกสารอ้างอิง

Carter MJ, DaVanzo J, Haught R, et al. Chronic wound prevalence and the associated cost of treatment in Medicare beneficiaries: changes between 2014 and 2019. J Med Econ. 2023; 26(1): 894-901. doi:10.1080/13696998.2023.2232256

Barakat-Johnson M, Lai M, Wand T, et al. Digitising wound care: a cost-consequence analysis of the Wound Care Command Centre™ model in Australia. BMC Health Serv Res. 2025; 25(1): 12969. doi:10.1186/s12913-025-12969-2

Guo S, Dipietro LA. Factors affecting wound healing. J Dent Res. 2010; 89(3): 219-29. doi:10.1177/0022034509359125

Järbrink K, Ni G, Sönnergren A, et al. The humanistic and economic burden of chronic wounds: a systematic review. Wound Rep Regen. 2017;25(5):829-841. doi:10.1186/s13643-016-0400-8

Sen CK. Human wounds and its burden: an updated compendium of estimates. Adv Wound Care (New Rochelle) 2019; 8: 39–48. doi:10.1089/wound.2019.0946

Phillips CJ, Humphreys I, Fletcher J, Harding K, Chamberlain G, Macey S. Estimating the costs associated with the management of patients with chronic wounds using linked routine data. Int Wound J 2016; 13: 1193–7. doi:10.1111/iwj.12443

Falcone M, Angelis BD, Pea F, et al. Challenges in the management of chronic wound infections. Journal of Global Antimicrobial Resistance 2021; 26: 140–147. doi:10.1016/j.jgar.2021.05.010

Han G, Ceilley R. Chronic Wound Healing: A Review of Current Management and Treatments. Adv Ther 2017; 34: 599–610. doi:10.1007/s12325-017-0478-y

Burhan A, Syafiqah N, Ruangde K, et al. Hidden Wounds: Prevalence of Chronic Wounds in Asia, A Systematic Review and Meta‑Analysis. Java Nursing Journal 2025; 3 (3): 221-236. doi:10.61716/jnj.v3i3.117

สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2560. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย; 2560.

ณัทธร บูชางกูร. อุปกรณ์ทําแผลขั้นสูง. ธรรมศาสตร์เวชสาร. 2560; 17(3): 402-407.

กิรณา สีนิล, กัสมีย์ สะนิลเลาะ, จันทร์เพ็ญ มีชนะ และคณะ. การดูแลบาดแผลขั้นสูง: Advanced wound care. วชิรสารการพยาบาล 2563; 22(1): 104-115.

นุชรี จันทร์เอี่ยม, ศรีวรรณ เรืองวัฒนา, มาลีวรรณ เกษตรทัต, ศศิธร พิชัยพงศ์, แสงอรุณ ใจวงศ์ผาบ. การพัฒนาระบบการพยาบาลผู้ป่วยแผลเรื้อรัง โรงพยาบาลลำพูน. วารสารสาธารณสุขล้านนา. 2562; 15(1): 1-13.

จุฬาพร ประสังสิต, กาญจนา รุ่งแสงจันทร์, ยุวรัตน์ ม่วงเงิน . Wound Care for Nursing: Evidence Base to Practice. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพ: พี.เอ.ลีฟวิ่ง; 2559.

Cohen, J. Statistical power analysis for the behavioral sciences (2nd ed.). Hillsdale, NJ: Lawrence Erlbaum; 1988.

National Pressure Ulcer Advisory Panel. PUSH Tool 3.0. Available from: https://npiap. com/page/PUSH.

จุฬาพร ประสังสิต. เครื่องมือการประเมินการหายของแผล.www.si.mahidol.ac.th/ Th/ division/ nursing/1.pdf เข้าถึงเมื่อ 11 มีนาคม 2567.

ปองหทัย พุ่มระย้า. เครื่องมือประเมินการหายของแผลกดทับ. วารสารสภาการพยาบาล. 2552; 24(3): 20-30.

Mongkornwong A, Wongwiwat W, Chansanti O, Sukprasert P, Akaranuchat N. Hard-to-Heal Wounds. PSU Med J 2024; 4(1): 47-58. doi:10.31584/psumj.2024265285

Heyer K, Augustin M, Protz K, Herberger K, Spehr C, Rustenbach SJ. Effectiveness of advanced versus conventional wound dressings on healing of chronic wounds: Systematic review and meta-analysis. Dermatology. 2013; 226(2): 172-84. doi:10.1159/000348331

Blome C, Baade K, Debus ES, Price P, Augustin M. The “wound-QoL”: A short questionnaire measuring quality of life in patients with chronic wounds based on three established disease-specific instruments. Wound Repair Regen. 2014; 22(4): 504-14. doi:10.1111/wrr.12193

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-10-15

รูปแบบการอ้างอิง

เชื้อตาลี ป., บริรักษ์วาณิชย์ ก. ., & งามภักดิ์ ณ. . (2025). ผลการใช้รูปแบบการดูแลบาดแผลแบบมีเป้าประสงค์ด้วยหลัก 4Ws ต่ออัตราการติดเชื้อและระยะเวลาการหายของแผลในผู้ป่วยที่มีแผลเรื้อรัง. วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 13(3), 66–85. สืบค้น จาก https://he05.tci-thaijo.org/index.php/CHDMD_KKU/article/view/6832

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ