ประสิทธิผลของการใช้รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกัน ผลกระทบเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอางของวัยรุ่นไทย
คำสำคัญ:
ประสิทธิผล, รูปแบบ, ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม, เครื่องสําอางบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างแกนนำสุขภาพเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ 3) เพื่อศึกษาผลของการใช้รูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ กลุ่มเป้าหมายเป็นโรงเรียนในเขต 4,5,6 และ 13 จำนวน 4 โรงเรียนโดยผู้วิจัยได้พัฒนาศักยภาพ แกนนำเพื่อร่วมขับเคลื่อนในโรงเรียนแห่งละ 10-12 คน รวมทั้งสิ้น 45 คน และนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจำนวน 272 คน โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันผลกระทบเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอางของวัยรุ่ยรุ่นไทย แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่น 0.62 และ แบบวัดพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ มีค่าความเชื่อมั่น 0.65 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired sample t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis)
ผลการวิจัยพบว่า 1) การพัฒนาศักยภาพแกนนำ ผู้ร่วมขับเคลื่อน พบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพและ พฤติกรรมสุขภาพดีขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ 0.01 (t = -5.20 และ-5.52 ตามลำดับ) 2) การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและเครื่องสำอางของวัยรุ่นไทยประกอบด้วย 7 ขั้นตอนได้แก่ 1.กำหนดประเด็นร่วนร่วมกันค้นหา แนวทางการแก้ปัญหา 2.ร่วมกันร่างรูปแบบเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพฯ 3.พัฒนารูปแบบเสริมสร้าง ความรอบรู้ด้านสุขภาพฯ 4.พัฒนาเครื่องมือประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพฯ 5.เฝ้าระวังพฤติกรรม และติดตาม การดำเนินงาน 6.ประเมินผลกิจกรรม และ 7.การขยายผลเครือข่ายสุขภาพ 3) นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการ พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยหลังการทดลองดีกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (t = -8.88 และ -20.09 ตามลำดับ) ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย รูปแบบของการจัดกิจกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นตามบริบทของโรงเรียนและมีแกนนำนักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมทำให้เกิดนวตกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สามารถใช้ได้จริง ซึ่งสามารถใช้เป็นแนวทางการในประยุกต์ใช้ในโรงเรียนอื่นๆ
Downloads
References
กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค. (2563). รายงานการสำรวจ ความรู้และพฤติกรรมการบริโภคผลิตภัณฑ์ สุขภาพของประชาชนกลุ่มเป้าหมายของ 31 จังหวัด ที่ดำเนินการภายใต้โครงการเครือข่ายชุมชน ร่วมใจ ป้องกันภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ ปึงประมาณ 2563. https://plan.fda.moph.go.th/media.php?id สืบค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2567
กองสุขศึกษา. (2556) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ โดยชุมชน. นนทบุรี : กองสุขศึกษา. สุนารี
ทะน๊ะเป็ก. (2562) ผลของโปรแกรมสุขศึกษาเพื่อ สร้างเสริมการรู้เท่าทันสื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เพื่อ สุขภาพและความงามของนักเรียนมัธยมศึกษา ตอนต้นในจังหวัดสุโขทัย. วารสารโรคและภัยสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรรค์, 13(1), 1-16.
ศิริเนตร สุขดี (2560) การพัฒนารูปแบบการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมในการจัดการความรู้ของชุมชนในตำบลบางเกลือ จังหวัดฉะเชิงเทรา. วารสารสุขศึกษา 40(1). 38-52. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, 'โฆษณาเกินจริง' ครอง 3 ปีช้อน ปัญหาผู้บริโภคอันดับ 1 [Online], 30 ธันวาคม 2564. แหล่งที่มา https://www.consumerthai.org/consumers-news/food-and-drug/4535-640109-consumersituation2020.html สืบค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2567
เรวดี วัฒฑกโกศล https://www.psy.chula.ac.th/en/feature-articles/beauty-risk/ สืบค้นเมื่อ 24 มีนาคม 2567
Bloom. (1976). Human characteristics and school learning.New York: McGraw-hill.
Fen Chu Ko et al, (2021). Exploring the factors related to adolescent health literacy, health- promoting lifestyle profle, and health status. BMC Public Health (2021) 21:2196
Lawrence. (2014) Is low health literacy associated with overweight and obesity in adolescents: an epidemiology study in a 12-16 years old population, Nanning, China, 2012
Madrigal et al, (2016). Improving Latino youths' environmental health literacy and leadership skills through participatory research on chemical exposures in cosmetics: The HERMOSA study. International Quarterly of community Health Education, 36(4), 231-240.
Nutbeam, D.(2008). The evolving concept of health literacy. Social Science & Medicine. 67: 2072-2078.
Rothman et al., (2006). Patient understanding of food labels: The role of literacy and numeracy. American Journal of Preventive Medicine, 31(5), 391-398.
Shreffler-Grant et al, (2018). Bee SAFE, a skill- building intervention to enhance CAM health literacy: Lessons learned. Health Promotion Practice, 19(3), 475-481.
Smith et al., (2019). Complementary medicine use and health literacy in older Australians. Complementary Therapies in Medicine, 42, 53-58.
Speirs et al, (2012). Health literacy and nution behaviors among low-income adults. Journal of Health Care for the Poorand Underserved, 23, 1082-1091. doi:10.1353=hpu.2012.011
WHO.(1998). Health Promotion Glossary. Division of Health Promotion, Education and Communications, Health Education and Health Promotion Unit, World Health Organization. Geneva, 1-10.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์ของศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6
ข้อความที่ปรากฏในบทความแต่ละเรื่องในวารสารวิชาการเล่มนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 6 และบุคลากรท่านอื่น ในศูนย์ฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเองแต่ผู้เดียว