การพัฒนานวัตกรรมหุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ

ผู้แต่ง

  • ชฎาธิรักษ์ นาทองเจริญสุข นักศึกษาพยาบาลศาตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • ชนิตา กังงา นักศึกษาพยาบาลศาตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • ชลธิชา โต๊ะเส็น นักศึกษาพยาบาลศาตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • ชุติกาญจน์ ชูพันธ์ นักศึกษาพยาบาลศาตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • ฌีรีน จารู นักศึกษาพยาบาลศาตรบัณฑิต วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก
  • ทิพย์ศิริ สหวรพันธุ์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา คณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันพระบรมราชชนก

คำสำคัญ:

การพัฒนานวัตกรรม , หุ่นจำลองแผลกดทับ

บทคัดย่อ

การวิจัยและการพัฒนานี้วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาประเมินความพึงพอใจและประสิทธิภาพของหุ่นจำลองแผลกดทับและสารคัดหลั่งให้มีความเสมือนจริงในนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตปีที่ 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สงขลา จำนวน 103 คน สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยการจับสลากแบบไม่คืนกลับที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ หุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ แบบประเมินประสิทธิภาพและแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อหุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือ ด้านประสิทธิภาพ .89 และด้านความพึงพอใจ .89 ค่าความเที่ยงของเครื่องมือโดยสูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค ด้านประสิทธิภาพ .95 และด้านความพึงพอใจ .97 วิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลวิจัยพบว่า

1. การประเมินประสิทธิภาพของหุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ พบว่า โดยรวมกลุ่มตัวอย่างมีประสิทธิภาพหุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ ในระดับดีมากที่สุด (M = 4.66, SD = 0.51)

2. ความพึงพอใจต่อหุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ พบว่า โดยรวมกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อหุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ ในระดับมากที่สุด (M = 4.78, SD = 0.43)

หุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ สามารถนำไปใช้ในการสอนนักศึกษาพยาบาลก่อนการขึ้นฝึกปฏิบัติ และสอนญาติผู้ป่วยในการดูแลแผลกดทับ แต่อย่างไรก็ตามควรมีการวิจัยและพัฒนาต่อ โดยหุ่นควรสร้างจากยางพาราและควรมีการสร้างแผลที่มีเนื้อตายเพื่อให้มีความเสมือนจริง และต่อยอดเป็นหุ่นเชิงโต้ตอบ

เอกสารอ้างอิง

จรูญลักษณ์ ป้องเจริญ, จักรกฤษณ์ ลูกอินทร์, ดารินทร์ พนาสันต์, ลักขณา ศิรถิรกุล. (2564). ผลของการใช้นวัตกรรมหุ่นจำลองดูดเสมหะ“SNC.SUCTION MODEL”ต่อทักษะดูดเสมหะของนักศึกษาพยาบาล. วารสารวิจัยการพยาบาลและสุขภาพ, 22(1), 80-94.

จิณพิชญ์ชา มะมม, มรรยาท รุจิวิชชญ์. (2559). หุ่นจำลองแผลกดทับ. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 จาก https://explore.nrct.go.th/search_detail/result/2237

ธนธัช คงสมบูรณ์. (2565). ระบบอัตโนมัติเพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 จาก https://social.nia.or.th/2022/open0043/

ธัญญาสิริ ธันยสวัสดิ์, เยาวลักษณ์ โพธิดารา, ลลิดา ปักเขมายัง, ญาธิดา วุฒิศาสตร์กุล, นภารินทร์ นวลไธสง. (2565). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความพร้อมในการฝึกปฏิบัติการพยาบาลของนักศึกษาพยาบาล. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ สสอท, 4(2), 1-13.

พิมภัสสร เด็ดขาด. (2561). การพัฒนาคลังสื่อออนไลน์วิชาสังคมศึกษาสำหรับครูโรงเรียนพระปริยัติธรรมจังหวัด เชียงใหม่. วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิตไม่ได้ตีพิมพ์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

ภิญโญ อุทธิยา. (2566). บทบาทของพยาบาลหน่วยพยาบาลบริการผู้ป่วยที่บ้านในการป้องกันและดูแลแผลกด ทับผู้ป่วยที่บ้าน:ประสบการณ์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี. วารสารวิจัยสุขภาพและการพยาบาล, 39(2), 12- 21.

รินณารา สายเมฆ. (2559). การพัฒนาและประเมินผลของการใช้แนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อการป้องกันการเกิด แผลกดทับสำหรับผู้ป่วยสูงอายุในหออภิบาลผู้ป่วยหนักโรงพยาบาลชุมชน. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.

วีระพรรณ บุญมีวิเศษ, จันทร์ทิพย์ สุขบัว, พิชัย บุญมาศรี, ระพีพรรณ นั้นทะนา. (2565). การพัฒนาแนว ปฏิบัติการพยาบาลเพื่อป้องกันแผลกดทับ หอผู้ป่วยหนัก โรงพยาบาลเลย. ชัยภูมิเวชสาร, 42(2), 118-130.

อรพินท์ สีขาว. (2566). พยาธิสรีรวิทยา : สำหรับนักศึกษาพยาบาลและวิทยาศาสตร์สุขภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 6). โครงการสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ.

อัญชลี มูลวงษ์, ชิสาพัชร์ วงษ์จินดา, ธนะวัฒน์ รวมสุก. (2564). ผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรู้และ พฤติกรรมการป้องกันแผลกดทับในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงแก่ญาติผู้ดูแลในโรงพยาบาลคลองเขื่อน. วารสารการ พยาบาลและการศึกษา, 14(3), 1-14.

อารียา นรารัตน์, สมฤดี เศษสุข, สุดารัตน์ มาตวงศ์, พิชญา เคารพธรรม, จรัสพร วิลัยสัย. (2566). การ เปลี่ยนท่าและการเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดแผลทับในผู้ป่วยติดเตียง. วชิรสารการพยาบาล, 25(1), 95-99

Abrahams, F. R., Daniels, E. R., Niikondo, H. N., & Amakali, K. (2023). Students' knowledge, attitude and practices towards pressure ulcer prevention and management. Health SA = SA Gesondheid, 28, 2180. https://doi.org/10.4102/hsag.v28i0.2180

Deming, W. E. (1986). Out of the crisis. MIT Press. Polit, D. F. & Beck, C. T. (2012). Nursing research: generating and assessing evidence for nursing practice. (9th Edition). Lippincott Williams & Wilkins.

Tschannen, D., & Anderson, C. (2020). The pressure injury predictive model: A framework for hospital-acquired pressure injuries. Journal of clinical nursing, 29(7-8), 1398–1421. https://doi.org/10.1111/jocn.15171

Yamane, T. (1973). Statistics: An introductory analysis. (3rd ed.). Harper & Row.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-06-22

รูปแบบการอ้างอิง

1.
นาทองเจริญสุข ช, กังงา ช, โต๊ะเส็น ช, ชูพันธ์ ช, จารู ฌ, สหวรพันธุ์ ท. การพัฒนานวัตกรรมหุ่นจำลองแผลกดทับ 6 ระดับ. NIHAJ [อินเทอร์เน็ต]. 22 มิถุนายน 2025 [อ้างถึง 26 ธันวาคม 2025];1(1):e4151. available at: https://he05.tci-thaijo.org/index.php/NIHAJ/article/view/4151

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย