การสอบสวนการระบาดของโรคไข้อีดำอีแดงในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ วันที่ 4 มกราคม–31 มีนาคม 2560
คำสำคัญ:
การระบาด, ไข้อีดำอีแดง, โรงเรียนอนุบาล, จังหวัดสุรินทร์บทคัดย่อ
บทนํา: ไข้อีดำอีแดงเป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็กที่มีสาเหตุเกิด จากเชื้อ Streptococcus pyogenes ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จังหวัดสุรินทร์ ไม่พบมีการแพร่ระบาดของไข้อีดำอีแดง พบผู้ป่วยรายแรกในวันที่ 5 มกราคม 2560 ซึ่งพบการแพร่ระบาดในโรงเรียน อนุบาล ก. อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ทีมเฝ้าระวังสอบสวน เคลื่อนที่เร็วของโรงพยาบาลสุรินทร์และศูนย์สุขภาพชุมชนศุภกาญจน์ ร่วมสอบสวนและป้องกันควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2560 และร่วมกันควบคุมป้องกันโรคในโรงเรียนอนุบาล ก จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม–31 มีนาคม 2560
วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา ในการแพร่กระจายของโรคไข้อีดำอีแดง โดยศึกษาลักษณะการเกิด การกระจายของโรค ตามบุคคลสถานที่และเวลา ศึกษาสิ่งแวดล้อมและศึกษาทางห้องปฏิบัติการด้วยการทำ throat swab culture เพื่อหาสาเหตุการระบาด แหล่งโรคและวิธีถ่ายทอดโรค รวมทั้งหาแนวทางในการควบคุมและป้องกันโรค
ผลการศึกษา: จากการคัดกรองทั้งสิ้น 759 ราย พบเป็นกลุ่มนักเรียนป่วยทั้งหมดรวม 76 ราย ค่ามัธยฐานของผู้ป่วย 7 ปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน 52 ราย (ร้อยละ 68.4) ผู้ป่วยที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์ 17 ราย (ร้อยละ 22.40) โรงพยาบาลชุมชนและคลินิกเอกชน 7 ราย (ร้อยละ 9.21) แพทย์วินิจฉัยโรคไข้อีดำอีแดง 69 ราย (ร้อยละ 90.79) และสงสัยโรคไข้อีดำอีแดง 7 ราย (ร้อยละ 9.21) สำหรับอาการแสดงทางคลินิก ได้แก่ มีไข้สูงร้อยละ 88.89 ผื่นแดงตามร่างกายร้อยละ 86.67 เจ็บคอและทอนซิลโตร้อยละ 68.89 มีปื้นขาวที่ลิ้นร้อยละ 44.44 มีการคลื่นไส้อาเจียนร้อยละ 26.67 มีลิ้นบวมแดงคล้ายสตรอเบอรรี่ร้อยละ 15.56 ทอนซิลบวม ปวดศีรษะ ร้อยละ 6.67 เท่ากันมีแผลที่ปาก ร้อยละ 4.4 ไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตและผลการเพาะเชื้อแบคทีเรียโดยการสุ่มตัวอย่าง จากกลุ่มที่มีอาการสงสัย จำนวน 38 ตัวอย่าง พบเชื้อ β-Hemolytic Streptococcus group A 12 ตัวอย่าง (ร้อยละ 31.58) พบเป็น Normal Throat Flora 23 ตัวอย่าง (ร้อยละ 60.53) พบเชื้ออื่น ๆ 3 ตัวอย่าง (ร้อยละ 7.89) ได้แก่ Staphylococcus aureus 1 ตัวอย่าง (ร้อยละ 2.63), Streptococcus pneumoniae 1 ตัวอย่าง (ร้อยละ 2.63) และ Beta–hemolytic Streptococci 1 ตัวอย่าง (ร้อยละ 2.63) จากการศึกษาด้านสภาพแวดล้อมพบว่าจะมีห้องเรียนระดับชั้นอนุบาลที่มีการเรียนการสอนร่วมกันทำให้มีการคลุกคลีกัน ได้แก่ ห้องสมุด ห้องดนตรี ห้องวิทยาศาสตร์ ห้องบอล และหอประชุม มาตรการที่ดำเนินการ ได้แก่ โรงเรียนควรมีระบบการคัดกรองสุขภาพ และตรวจสุขภาพเด็กนักเรียนทุกชั้นเรียน และทุกวันก่อนเข้าเรียน เพื่อคัดแยกเด็กป่วย และให้สุขศึกษารวมทั้งสื่อสารแจ้ง เตือนครูและผู้ปกครอง
สรุปและวิจารณ์ผล: การระบาดครั้งนี้มีลักษณะแบบแหล่งโรคแพร่กระจาย ผลจากการเฝ้าระวังโรคในโรงเรียน 1 เดือน ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาปิดภาคเรียน และควรติดตามผู้ป่วยที่เคยได้รับการวินิจฉัยโรคไข้อีดำอีแดงกลุ่มนี้ต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลา 2 ปี เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
References
อรุณี ศุภนาม, กุสุมา สว่างพันธุ์, ศรีแพร เอ่งฉ้วน, อรนิดา พุทธ รักษ์, วันเพ็ญ แพนชัยภูมิ, กฤษณ์ สกุลแพทย์, วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์. การสอบสวนการระบาดของโรคไข้อีดำอีแดงในโรงเรียน นานาชาติแห่งหนึ่ง ตำบลวิชิต อำเภอเมือง จังหวัด ภูเก็ต วันที่ 11-19 กันยายน 2554. รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา ประจำสัปดาห์. 2554;42:721-6.
พัชรินทร์ ตันติวรวิทย์, สรียา เวชวิฐาน, พงษ์เทพ วงศ์วัชระ ไพบูลย์, มานิตา พรรณวดี, หิรัญวุฒิ แพร่คุณธรรม, พรรณราย สมิตสุวรรณ และคณะ. การสอบสวนการระบาดของโรคไข้ อีดำอีแดง อำเภอเมือง จังหวัดน่าน วันที่ 12-15 มกราคม 2555. รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์. 2558; 46: 641-7.
กรมควบคุมโรค สำนักระบาดวิทยา. โรคไข้อีดำอีแดง [อินเตอร์เน็ต]. สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรคประจําปี 2558; 2558 [สืบค้นเมื่อ 9 ก.ค. 2558]. เข้าถึงได้จาก http://www.boe.moph.go.th/Annual/AESR2015/aesr2558/Part%201/08/scarlet_fever.pdf
Dietrich ML. Steele RW. Group A Streptococcus. Pediatrics in Review Aug 2018;39(8):379-91;
Kliegment RM, Stanton BF, Gemer II JW, Schoor NF, Behrman RE. Gerber MA. Group A Streptococcus. Nelson Textbook of Pediatrics. 19thed. Philadelphia: Elsevier Saunders; 2011:914-9.
Lamden K. An outbreak of scarlet fever in a primary school. Arch Dis Child. 2011;96(4):394-7.
Michaels MG, Williams JV, Zitelli and Davis' Atlas of Pediatric Physical Diagnosis, 2018:13:455-509
Liu Y, Chan Ta-Chien, Yap LY, Luo Y, Xu W, Qin S, et al. Resurgence of scarlet fever in China: a 13-year population-based surveillance study. The Lancet Infectious Diseases. 2018:18(8):903-12.
US National Library of Medicine, National Institutes of Health. Managing scarlet fever. Drug Ther Bull 2017:55(9):102.
Mandell G, Bennett J, Dolin R. Mandell, Douglas, and Bennett’ s Principles and Practice of Infectious Disease. 7thed. New York: Churchill Livingstone; 2009.
Center for Disease Control and Prevention. Scarlet Fever: A Group A Streptococcal Infection [internet]. Center for Disease Control and Prevention; 2018 [cited 2018 Jan 22]. Available from: https://www.cdc.gov/features/scarletfever/index.html
Zabawski Jr, Edward J. Scarlet Fever Treatment & Management: Approach Considerations, Medical Care, Prevention. [cited 2014 Jan 30]. Available from: https://emedicine.medscape.com/article/1053253-treatment
Staszewska-Jakubik E, Czarkowski MP, Kondej B. Scarlet fever in Poland in 2014 [internet]. Przegl Epidemiol 2016; 70(2): 195-202.
Ogle JW, Anderson MS. Infections: bacterial and spirochetal. In: Hay WW, Levin MJ, Sondheimer JM, Deterding RR, editors. Current Diagnosis & Treatment: Pediatrics. 22nded. New York: McGraw- Hill; 2014. pp.1283-352.
Hope J. Cases of scarlet fever reach highest level for a decade. Mail online (serial online) 2009 Feb 17; [cited 2010 Apr 27]; [5 screens]. Available from: http://www.dailymail.co.uk/health/article-1146944/Casesscarlet-fever-reach-highest-level-decade.html
Center for Disease Control and Prevention. Group A Streptococcal (GAS) Disease. 2008 Apr 3; [cited 2010 May 7]; [3 screens]. Available from: http://www.cdc.gov/ncidod/dbmd/diseaseinfo/groupastreptococcal_g.htm
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2018 รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับ WESR ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน WESR ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงบทความนั้น ๆ