การศึกษาอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสซิกาในผู้ป่วยสงสัยโรคหัด ที่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการให้ผลลบต่อไวรัสหัดและหัดเยอรมัน ตามโครงการกำจัดโรคหัดในประเทศไทยตามพันธะสัญญานานาชาติ ปี พ.ศ. 2559

ผู้แต่ง

  • นิภาพรรณ สฤษดิ์อภิรักษ์ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
  • นิรันดร ยิ้มจอหอ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค
  • สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • อัจฉริยา ลูกบัว สถาบันวิจยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
  • โรม บัวทอง กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค

คำสำคัญ:

โครงการกำจัดหัด, ไวรัสซิกา, อุบัติการณ์

บทคัดย่อ

บทนำ: ปี พ.ศ. 2555-2557 พบการระบาดของไข้ออกผื่นที่ไม่ทราบสาเหตุในประเทศไทย 4 เหตุการณ์ มีผู้ป่วยรวมทั้งสิ้น 47 ราย ทุกรายให้ผลลบด้วยวิธีการตรวจทางภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อไวรัสหัด หัดเยอรมัน และให้ผลลบด้วยวิธี PCR ต่อการติดเชื้อชิคุนกุนยา และเด็งกี่ เมื่อนำตัวอย่างเลือดทุกรายส่งตรวจที่ห้องปฏิบัติการของ US CDC ณ Ft Collin Colorado พบ 7 รายมีผลตรวจยืนยันติดเชื้อไวรัสซิกา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ ของโรคติดเชื้อไวรัสซิกาในโครงการกำจัดโรคหัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ศึกษาลักษณะอาการทางคลินิก และระบาดวิทยาของโรค ติดเชื้อไวรัสซิกา และผู้ป่วยหัด หัดเยอรมัน ในโครงการกำจัดหัด
วิธีการศึกษา: กลุ่มประชากรที่ศึกษา คือ ผู้ป่วยในโครงการกำจัด โรคหัด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 ที่ให้ผลลบต่อไวรัสหัด และไวรัส หัดเยอรมัน และมีตัวอย่างเลือดเหลือเพียงพอต่อการตรวจหาสารพันธุกรรมไวรัสซิกาด้วยวิธี RT-PCR และ Molecular sequencing ทำการเปรียบเทียบลักษณะทางระบาดวิทยา ลักษณะอาการของผู้ป่วยยืนยันโรคหัด (418 ราย) กับผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสซิกา
ผลการศึกษา: พบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกา 6 ราย ในกลุ่มผู้ป่วย โครงการกำจัดโรคหัดที่ให้ผลลบต่อการตรวจหัดและหัดเยอรมัน 154 ราย อัตราอุบัติการณ์ร้อยละ 3.90 ลักษณะอาการสำคัญของ ผู้ ป่วยโรคหัด โรคหัดเยอรมัน และโรคติดเชื้อไวรัสซิกา คือ ไข้ และ ผื่น ผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกาพบมีอาการเยื่อบุตาอักเสบ ปวดข้อ ร่วมด้วย ส่วนอาการเด่นเพิ่มเติมของโรคหัด คือ ไอ มีน้ำมูก การ กระจายตามบุคคลพบว่าผู้ป่วยโรคหัดเยอรมันและโรคหัด พบมากในเพศชายร้อยละ 90 และ 58 ตามลำดับ ส่วนโรคติดเชื้อไวรัสซิกา เป็นเพศหญิงทุกราย ค่ามัธยฐานของอายุผู้ป่วยโรคหัด หัดเยอรมัน และโรคติดเชื้อวัสซิกา คือ 3 ปี, 1 ปี 6 เดือน และ 25 ปี ตามลำดับ ความรุนแรงของโรคพบว่าผู้ป่วยโรคหัดร้อยละ 88 รับรักษาเป็นผู้ป่วยในผู้ป่วยโรคหัดเยอรมันและโรคติดเชื้อไวรัสซิกา เป็นประเภทผู้ป่วยนอกร้อยละ 80 และ 100 ตามลำดับ ด้านประวัติการรับวัคซีนหัด หรือวัคซีน MMR พบว่าผู้ป่วยโรคหัดส่วนใหญ่ร้อยละ 45.94 ไม่เคยรับวัคซีน แต่ผู้ป่วยหัดเยอรมัน มีประวัติเคยรับวัคซีนหัดร้อยละ 80 และผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสซิกามีประวัตเคยรับวัคซีน หัดร้อยละ 83.33
สรุปและอภิปรายผล: ความเป็นไปได้ในการบูรณาการ การเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสซิกาในโครงการกำจัดหัด ควรให้ความสนใจกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไปที่เป็นผู้ป่วยนอก และมีอาการเข้าได้กับนิยามการเฝ้าระวัง คือ ไข้ร่วมกับอย่างน้อย 2 อาการดังต่อไปนี้ ปวดข้อ ตาแดง ปวดศีรษะ หรือ ผื่นร่วมกับอย่างน้อย 1 อาการ ต่อไปนี้ คือ ไข้ ปวดข้อ ตาแดง

References

กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางดำเนินงานเฝ้าระวังเหตุการณ์ของ SRRT เครือข่าย ระดับตำบล. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: กองระบาดวิทยา กรม ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2556.

World Health Organization. WHO statement on the first meeting of the International Health Regulations (2005) (IHR 2005) Emergency Committee on Zika virus and observed increase in neurological disorders and neonatal malformations [Internet]. [cited 2016 Feb 2]. Available form: http//www.who.int/mediacentre/news/statements/2016/1st-emergency-committee-zika/en/

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. คู่มือการป้องกันควบคุม โรคติดเชื้อไวรัสซิกา สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และ สาธารณสุข ปี 2559. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2559. 4. กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค. โรคหัด [ออนไลน์]. [เข้าถึง เมื่อ 1 กันยายน 2560]. เข้าถึงได้จาก http://www.boe. moph.go.th/

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2024-05-03

How to Cite

สฤษดิ์อภิรักษ์ น., ยิ้มจอหอ น., วัชรพฤษาดี ส., ลูกบัว อ., & บัวทอง โ. (2024). การศึกษาอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสซิกาในผู้ป่วยสงสัยโรคหัด ที่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการให้ผลลบต่อไวรัสหัดและหัดเยอรมัน ตามโครงการกำจัดโรคหัดในประเทศไทยตามพันธะสัญญานานาชาติ ปี พ.ศ. 2559. รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์, 51(27), 393–399. สืบค้น จาก https://he05.tci-thaijo.org/index.php/WESR/article/view/1628

ฉบับ

บท

บทความต้นฉบับ