การสอบสวนโรคหิดในสถานสงเคราะห์คนชรา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เดือนตุลาคม 2556
คำสำคัญ:
หิด, ผู้สูงอายุ, สถานสงเคราะห์, เชียงใหม่บทคัดย่อ
ความเป็นมา: วันที่ 10 ตุลาคม 2556 หน่วยควบคุมและป้องกัน โรคติดเชื้อโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้รับแจ้งจากศูนย์สร้างเสริมสุขภาพ มีผู้สูงอายุที่สถานสงเคราะห์คนชราแห่งหนึ่ง มีอาการคันง่ามนิ้ว รักแร้ และลำตัว แพทย์วินิจฉัยโรคหิด และมีผู้ที่มีอาการคล้ายกันอีกหลายรายในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ ทีมระบาดวิทยาจึงได้ดำเนินการสอบสวนโรคโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันการระบาด ค้นหาผู้ป่วย ควบคุมป้องกันและเฝ้าระวังโรค
วิธีการศึกษา: ทำการยืนยันการวินิจฉัยโรคหิดโดยใช้เกณฑ์ทาง คลินิก ร่วมกับการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดำเนินการค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ในสถานสงเคราะห์ ศึกษาลักษณะของการระบาด เพื่อระบุสาเหตุการระบาด แหล่งรังโรค และวางแผนการควบคุมป้องกันโรคที่เหมาะสม และศึกษาสิ่งแวดล้อม ของสถานสงเคราะห์ คนชรา ห้องพัก บริเวณที่ใช้ร่วมกัน การทำความสะอาด เครื่องนุ่งห่ม อาคาร อุปกรณ์ต่าง ๆ รวมทั้งการสังเกตพฤติกรรมของผู้สูงอายุ และเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงานดูแลผู้สูงอายุ
ผลการสอบสวน: พบผู้ป่วยทั้งหมด 10 ราย เป็นผู้สูงอายุ 9 ราย และเจ้าหน้าที่ 1 ราย อัตราป่วย (attack rate) ร้อยละ 6 (จากจำนวนผู้สูงอายุและเจ้าหน้าที่ 147 ราย) เป็นผู้ที่อาศัยหรือทำงาน ที่เรือนนอนที่ 4 จำนวน 7 ราย และเรือนนอนที่ 5 จำนวน 3 ราย คิดเป็นอัตราป่วยในเรือนนอนร้อยละ 27 และ 12 ตามลำดับ ผู้ป่วยมีอาการ ผื่นแดง และคันบริเวณลำตัว แขน ขา หรือข้อพับ ผลการเก็บตัวอย่างผิวหนังไม่พบตัวอ่อนของหิด ดำเนินการควบคุมโรค โดยการรักษาผู้ป่วยด้วยยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องนอน เครื่องใช้ โดยการต้ม ซักร้อน ตากแดด อบแห้งหรือการเช็ดโดยสารเคมี
สรุปและวิจารณ์: ผลการเฝ้าระวังโรคระยะเวลา 1 ปี ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ สรุปการระบาดของโรคหิดครั้งนี้มีปัจจัยเอื้อต่อการระบาด จากการใช้สิ่งของร่วมกัน การมีเตียงนอนใกล้กัน ร่วมกับผู้สูงอายุ บางรายไม่สามารถช่วยเหลือตนเองหรือแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบทำให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาล่าช้า เกิดการระบาดของโรคได้ง่ายว่าสถานที่อื่น ๆ ทีมได้เสนอแนะให้มีการคัดกรองโรคติดเชื้อในผู้สูงอายุ ก่อนเข้าพักหรือเคลื่อนย้ายเรือนนอนเพื่อป้องกันการรับโรคเข้าและการระบาดของโรคในสถานสงเคราะห์คนชราแห่งนี้
References
Buffet M, Dupin N. Current treatments for scabies. Fundamental & Clinical Pharmacology. 2003; 17(2): 217-25.
Dourmishev AL, Dourmishev LA, Schwartz RA. Ivermectin: pharmacology and application in dermatology. International Journal of Dermatology. 2005; 44(12): 981-8.
Tjioe M, Vissers WPM. Scabies outbreaks in nursing homes for the elderly. Drugs Aging. 2008; 25(4): 299- 306.
Sule Hm, Thacher Td. Comparison of ivermectin and benzyl benzoate lotion for scabies in nigerian patients. The American Journal of Tropical Medicine and Hygiene. 2007; 76(2): 392-5.
Panahi Y, Poursaleh Z, Goldust M. The efficacy of topical and oral ivermectin in the treatment of human scabies. Ann Parasitol. 2015; 61(1): 11-6.
Maibach HI, Gorouhi F. Evidence Based Dermatology: People's Medical Publishing House-USA; 2011.
Division of Infectious Disease Epidemiology, Bureau for Public Health West Virginia. Guidelines for scabies outbreaks institutions (Health Care Facilities, Prisons, Dormitories, Shelters). August 2010 [cited 2015 May 10]. Available from: http://www.dhhr.w.gov/oeps/disease/AtoZ/Documents/Guidelines%20for%20Scabies%20outbreaks.pdf
Bouvresse S, Chosidow O. Scabies in healthcare settings. Current Opinion in Infectious Diseases. 2010;23(2):111-8.
Shimose L, Munoz-Price LS. Diagnosis, Prevention, and Treatment of Scabies. Curr Infect Dis Rep. 2013; 15 (5): 426-31.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2016 รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับ WESR ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน WESR ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงบทความนั้น ๆ