พฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ปี พ.ศ. 2550

ผู้แต่ง

  • ปรีชา โอภาสสวัสดิ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเสาไห้
  • สำเริง โอภาสสวัสดิ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอหนองแค

คำสำคัญ:

Risk behavior, prevention, Breast cancer

บทคัดย่อ

รูปแบบการศึกษา แบบตัดขวาง (Cross-Sectional Studies) ประชากรศึกษาได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น จากสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป ทั้งหมด ใน 12 ตำบล เขตอำเภอสาไห้ จังหวัดสระบุรี
วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม และศึกษาแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม โดยใช้แบบสอบถามที่สร้างขึ้นจากการทบทวนแนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญ  ประกอบด้วยข้อมูลทั่วไป พฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม และแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม เป็นแบบคำถามปลายปิดและปลายเปิด  วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยกระจายแบบสอบถามให้ประชากรศึกษา และเก็บรวบรวมโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข  ผลการศึกษาพบว่า ประชากรศึกษาส่วนใหญ่ มีอายุ 35 – 45 ปี จบชั้นประถมศึกษา สถานภาพสมรสคู่ มีบุตร 1 – 3 คน อาชีพรับจ้าง รายได้เฉลี่ยเดือนละ 3,001 – 5,000 บาท เคยตรวจเต้านมด้วยตนเอง และไม่เคยไปรับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจากแพทย์ ประชากรศึกษาส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม เรื่องโอกาสเกิดโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นจากสาเหตุใด ร้อยละ 78.00
พฤติกรรมการป้องกันโรคในภาพรวม พบว่า ระดับการรับรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมในการป้องกันโรคมะเร็งเต้านม ภาพรวมทั้ง 7 ด้าน อยู่ในระดับสูง จำนวน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านเจตคติในการป้องกันโรค ค่าเฉลี่ย 3.97 ด้านแรงจูงใจด้านสุขภาพ ค่าเฉลี่ย 3.93 ด้านการรับรู้ความรุนแรงของการเกิดโรค ค่าเฉลี่ย 3.91 ด้านการรับรู้ประโยชน์ของการป้องกันโรค ค่าเฉลี่ย 3.90 ด้านการรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรค ค่าเฉลี่ย 3.84 ด้านแรงสนับสนุนทางสังคมในการป้องกันโรค ค่าเฉลี่ย 3.76  ระดับปานกลางคือ ด้านการรับรู้อุปสรรคของการป้องกันโรค ค่าเฉลี่ย 2.82  สำหรับด้านแนวทางการส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันโรค ส่วนใหญ่พบว่า บุคลากรสาธารณสุข และเครือข่ายสาธารณสุขในหมู่บ้าน สามารถเป็นผู้ส่งเสริมให้ประชาชนมีพฤติกรรมตามองค์ประกอบทั้ง 8 ด้านได้
ปัญหาอุปสรรคในการศึกษา คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ไม่สามารถชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับประชากรศึกษาเนื่องจาก มีอาชีพรับจ้าง และไม่อยู่บ้านในเวลากลางวัน
ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้ คือ ควรสร้างสื่อสุขศึกษาให้กับประชาชนเพื่อสร้างความตระหนักต่อโรคมะเร็งเต้านม นำไปสู่การตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอเดือนละ 1 ครั้ง และสถานบริการของรัฐควรจัดให้มีบริการรองรับการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เช่น        มุมให้คำปรึกษาโดยแพทย์หรือพยาบาลเฉพาะทาง มีการพัฒนาเครือข่ายจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสู่อาสาสมัครสาธารณสุขและสมาชิกในครอบครัว และควรมีการศึกษาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม

เอกสารอ้างอิง

กชกร สมมัง. (2542). การประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในผู้สูงอายุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี.วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยมหิดล.

กาญจนศรี สิงห์ภู่. (2548). คู่มือ การดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันโรคมะเร็งเต้านม. คณะแพทย์ศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

กิตติ จินดาวิจักษณ์. (2519). การค้นหาโรคมะเร็ง. วารสารโรคมะเร็ง. 4(2): 6-7.

กระทรางสาธารณสุข. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัสิ่งแวดล้อม (2550). การควบคุมป้องกันโรคมะเร็งเต้านม.

กรมการแพทย์ สถาบันมะเร็ง. (2546). การค้นหา วินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็ง ปีงบประมาณ 2542-2545. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ, กรุงเทพฯ.

ชัญญา เพ็งสุมา. (2550). ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของสตรี อายุ 35 ปีขึ้นไป ในเขตตำบลเตาปูน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี. สารนิพนธ์โครงการสาธารณสุขศาสตรบัณฑิต (ต่อเนื่อง), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตสุพรรณบุรี.

บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. (2542). เทคนิคการสร้างเครื่องมือรวบรวมข้อมูล สำหรับการวิจัย. โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์, กรุงเทพฯ.

บุษกร สุรรังสรรค์. (2536). แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับการปฏิบัติเพื่อป้องกันอันตรายจากมลพิษทางเสียงของตำรวจจราจร ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่การจราจรหนาแน่นในเขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยมหิดล.

บวร งามศิริอุดม. (2550 , มกราคม – มีนาคม). “ประสิทธิผลการถ่ายทอดความรู้และทักษะการ ตรวจเต้านมด้วยตนเอง,” ในวารสารการส่งเสริมสุขภาพและอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. ปีที่ 30(ฉบับที่ 1) : 50-51.

วิมล คำสวัสดิ์. (2535).ประสิทธิพลของโปรแกรมสุขศึกษาร่วมกับแรงสนับสนุนทางสังคมจากแม่บ้านอาสาสมัครในการตรวจเต้านมด้วยตนเองในชุมชนแออัด เขตกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (สาธารณสุขศาสตร์) สาขาสุขศึกษา, มหาวิทยาลัยมหิดล.

สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข. 2547. สถิติสาธารณสุข. ม.ป.ท. นนทบุรี.

สำเริง จันทรสุวรรณ. (2544 ). เกณฑ์การแบ่งช่วงคะแนนเฉลี่ยเพื่อการแปลผล และเกณฑ์การแบ่งช่วงคะแนนเพื่อใช้สถิติ Chi-Square. ขอนแก่น: ภาควิชาสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยา คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.

สมหมาย ทองแก้ว. (2546). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของสตรีที่รับบริการวางแผนครอบครัวที่สถานีอนามัยในเขตอำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง. วิทยานิพนธ์. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

โสพรรณ โพทะยะ. (2532). การศึกษาเปรียบเทียบความรู้เรื่องโรคมะเร็งเต้านม ความเชื่อด้านสุขภาพกับการปฏิบัติการตรวจเต้านมด้วยตนเอง ในสตรีที่มีอาชีพและระดับการศึกษาต่างกัน. วิทยานิพนธ์ปริญญาวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาพยาบาลศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดล.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-06-06

รูปแบบการอ้างอิง

โอภาสสวัสดิ์ ป., & โอภาสสวัสดิ์ ส. (2024). พฤติกรรมการป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ปี พ.ศ. 2550 . รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์, 39(S5), S96-S99. สืบค้น จาก https://he05.tci-thaijo.org/index.php/WESR/article/view/2366

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความต้นฉบับ