การระบาดโรคคอตีบในนักเรียนชั้นประถมศึกษา อำเภอยางสีสุราช จงหวัดมหาสารคาม เดือนกันยายน 2557
คำสำคัญ:
โรคคอตีบ, การระบาด, ยางสีสุราช, มหาสารคามบทคัดย่อ
บทนํา: เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2557 สำนักระบาดวิทยาได้รับแจ้ง จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม พบผู้ป่วยเด็กหญิง อายุ 11 ปี สงสัยเป็นโรคคอตีบรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัด มหาสารคาม ทีมสำนักระบาดวิทยาและทีมเฝ้าระวังสอบสวน เคลื่อนที่เร็ว ในพื้นที่จึงออกสอบสวนโรค เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรค ค้นหาแหล่งที่มาของโรค ค้นหาผู้สัมผัส และควบคุมการระบาด
วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา โดยการ ทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วย สัมภาษณ์สมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย และทำการค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมในหมู่บ้าน กับโรงเรียน ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม-18 กันยายน 2557 เก็บ ตัวอย่างจากลำคอเพาะหาเชื้อ Corynebacterium diphtheriae ตรวจหาสารพิษจากเชื้อ สํารวจสิ่งแวดล้อมและการสํารวจความ ครอบคลุมของการได้รับวัคซีนโรคคอตีบในตำบลและโรงเรียนของผู้ป่วย
ผลการศึกษา: จากผลการสอบสวนโรค พบผู้ป่วยยืนยัน 2 รายโดย การเพาะเชื้อพบ C. diphtheriae ชนิดสร้างสารพิษ ซึ่งเป็นเด็ก นักเรียนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเดียวกัน แต่อยู่คนละห้องเรียน ผู้ป่วยทั้งสองโดยสารไป โรงเรียนด้วยรถตู้คันเดียวกัน ผู้ป่วยรายแรกที่ได้รับรายงาน (Index case) เป็นเด็กหญิง อายุ 11 ปี มีประวัติได้รับวัคซีนรวม คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) 2 ครั้ง (ตอนอายุ 2, 4 เดือน) ผู้ป่วยรายที่ 2 พบหลังจากค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดของผู้ป่วยที่ได้รับรายงาน เป็นเด็กชาย อายุ 12 ปี มีประวัติได้รับวัคซีนรวม คอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (DTP) 3 ครั้ง (ตอนอายุ 2, 4, 6 เดือน) ผู้ป่วยยืนยีนทั้งสอง ได้รับ Diphtheria Antitoxin และยาปฏิชีวนะ ผลการรักษาหาย เป็นปกติทั้ง 2 ราย ทีมสอบสวนค้นหาผู้สัมผัสใกล้ชิดและผู้ป่วยที่มี อาการสงสัยโรคคอตีบ รวม 324 คน ทั้งหมดให้ผลลบต่อการเพาะ เชื้อ C. diphtheriae และได้รับยาปฏิชีวนะทั้งหมด
สรุปและวิจารณ์ผล: จากการสอบสวนโรคไม่พบแหล่งโรคที่ชัดเจน ผลการสํารวจความครอบคลุมการฉีดวัคซีนโรคคอตีบก่อนการ ระบาดของโรคคอตีบในตำบลที่ระบาด พบว่าความครอบคลุมของ วัคซีน ในเด็กอายุต่ํากว่า 7 ปี เท่ากับร้อยละ 83 และ ในเด็กอายุ 7-12 ปี เท่ากับร้อยละ 70 หน่วยบริการสาธารณสุขในพื้นที่ ได้ดำเนินการให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบแก่ประชากรทุกกลุ่มอายุ (mop up) ทั้งตำบลที่ระบาดและในโรงเรียนของผู้ป่วยยืนยัน
References
Centers for Disease Control and Prevention. Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases [online]. 2015 [cited 2017 May 10]. Available from: http://www.cdc.gov/vaccines/pubs/pinkbook/dip.html
กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการวินิจฉัย/ดูแล รักษาและการป้องกันควบคุมโรคคอตีบ [ออนไลน์]. 2555 [เข้าถึงเมื่อ 1 ตุลาคม 2557]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dms.moph.go.th/dmsweb/cpgcorner/CPG_Diphtheria_2.pdf
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. ตําราวัคซีนการสร้าง เสริมภูมิคุ้มกันโรค ปี 2556. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา; 2556. หน้า 93-7.
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. รายงานระบบเฝ้าระวัง โรค (รายงาน 506). [สืบค้นวันที่ 17 กันยายน 2557]. เข้าถึงได้ จาก http://www.boe.moph.go.th
Bureau of Immunization, New York State Department of Health. Diphtheria Outbreak Control Guidelines [online]. July 2011. [cited 2015 Jan 5]: 1-7; Available from: www.health.ny.gov/.../diphtheria_outbreak_control_guideline
Troko J, Myles P, Gibson J, Hashim A, Enstone J, Kingdon S, et al. Is public transport a risk factor for acute respiratory infection?: BMC Infect Dis. 2011;11: 16. doi:10.1186/1471-2334-11-16
Chen RT, Hardy IRB, Rhodes PH, Tyshchenko DK, Moiseeva AV, Marievsky VF. Ukraine, 1992: First assessment of diphtheria vaccine effectiveness during the recent resurgence of diphtheria in the former Soviet Union. Journal of Infectious Diseases. 2000;181(Supplement):S178-83.
Bisgard KM, Rhodes P, Hardy IRB, Litkina IL, Filatov NN, Monisov AA, et al. Diphtheria Toxoid Vaccine Effectiveness: A Case-Control Study in Russia. Journal of Infectious Diseases. 2000;181(Supplement):S184-7.
Todar K. Textbook of bacteriology. [cited 2014 Dec 20]: Available from: URL: http://textbookofbacteriology.net/diphtheria_2.html
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2018 รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับ WESR ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน WESR ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงบทความนั้น ๆ