การสอบสวนการระบาดของโรคคางทูมในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ ระหว่างเดือนพฤษภาคม–ตุลาคม 2562
คำสำคัญ:
คางทูม, โรงเรียน, เหตุการณ์การระบาด, จังหวัดแพร่บทคัดย่อ
ความเป็นมา: วันที่ 30 กรกฎาคม 2562 ทีมตระหนักรู้สถานการณ์ กรมควบคุมโรค ได้รับแจ้งจากสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 1 เชียงใหม่ ว่าพบผู้ป่วยสงสัยโรคคางทูมเป็นกลุ่มก้อนในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ จำนวน 16 ราย ทีมสอบสวนโรคดำเนินการสอบสวนโรคระหว่างวันที่ 6–8 สิงหาคม 2562 เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและการระบาด พรรณนาลักษณะทางระบาดวิทยา ระบุปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่กระจายโรคคางทูม และให้ข้อเสนอแนะและมาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมโรค
วิธีการศึกษา: ทำการศึกษาเชิงพรรณนา โดยค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติมจากนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน กำหนดนิยามผู้ป่วยสงสัย หมายถึง ผู้ที่เรียนหรือทำงานอยู่ในโรงเรียนซึ่งมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ปวด บวมหรือกดเจ็บบริเวณต่อมน้ำลาย หรือปวด บวมหรือกดเจ็บบริเวณอัณฑะ ในระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม–1 ตุลาคม 2562 ผู้ป่วยยืนยัน หมายถึง ผู้ป่วยสงสัยที่มีผลการตรวจพบสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสคางทูมด้วยวิธี Reverse Transcription Polymerase Chain Reaction หรือมีผลการตรวจภูมิคุ้มกันต่อไวรัสคางทูมชนิด IgM ให้ผลบวก สำรวจสภาพแวดล้อมในโรงเรียน คำนวณความครอบคลุมของวัคซีนและคำนวณประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโรคคางทูมเป็นส่วนประกอบ และทำการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบ retrospective cohort ในนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนจำนวน 371 คน
ผลการศึกษา: พบผู้ป่วยทั้งหมด 60 ราย (อัตราป่วยอย่างหยาบ ร้อยละ 15.6) ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยยืนยัน 16 ราย พบอัตราป่วยสูงสุดในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 (ร้อยละ 42.4) ค่ามัธยฐานของอายุผู้ป่วยเท่ากับ 10.6 ปี พิสัยระหว่างควอไทล์เท่ากับ 1.2 ปี อาการที่พบบ่อย ได้แก่ ปวดบริเวณต่อมน้ำลายร้อยละ 93.3 บวมบริเวณต่อมน้ำลายร้อยละ 91.7 และไข้ร้อยละ 60.0 ความครอบคลุมของวัคซีนป้องกันโรคคางทูมเป็นส่วนประกอบของนักเรียน เข็มที่ 1 ร้อยละ 48.3 และเข็มที่ 2 ร้อยละ 6.0 ประสิทธิผลของวัคซีนป้องกันโรคคางทูมเป็นส่วนประกอบเท่ากับร้อยละ 71.6 และปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายโรค ได้แก่ การใช้แก้วน้ำร่วมกัน (adjusted OR=2.30, 95% CI 1.21–4.38)
สรุปผลการศึกษา: พบการระบาดของโรคคางทูมในนักเรียนและครูของโรงเรียนประถมศึกษา ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปัจจัยเสี่ยงต่อการระบาด คือ การใช้แก้วน้ำร่วมกัน ทั้งนี้การตรวจจับการระบาดให้ได้เร็ว การแยกผู้ป่วยออกจากผู้ที่ไม่ป่วย และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน จะช่วยลดขนาดความรุนแรงของการระบาดโรคคางทูมลงได้
References
Central for Diseases Controls and Prevention. About Mumps 2019 [cited 2019 November 20]. Available from: https://www.cdc.gov/mumps/about/index.html
กองโรคป้องกันด้วยวัคซีน กรมควบคุมโรค กระทรวง สาธารณสุข. ตำราวัคซีนและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ปี 2562. นนทบุรี: กองโรคป้องกันด้วยวัคซีน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข; 2562.
Niramitsantipong A. Risk Factors of Mumps Outbreak in a Primary School Bangkok. International Journal of Infectious Diseases 2007; 12: e96–e7.
Polkaew J., Konmathitsuk J. An outbreak investigation of mumps in a primary school in Phanom District, Surat Thani Province, January–April 2018. Weekly Epidemiological Surveillance Report 2018; 49: 685–93.
ดารินทร์ อารีย์โชคชัย, ภาสกร อัครเสวี. โรคคางทูม. ใน: ธนรักษ์ ผลิพัฒน์, บรรณาธิการ. สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ประจำปี 2557. นนทบุรี: กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค; 2558.
Tharmaphornpilas P, Yoocharean P, Rasdjarmrearnsook AO, Theamboonlers A, Poovorawan Y. Seroprevalence of antibodies to measles, mumps, and rubella among Thai population: evaluation of measles/MMR immunization programme. Journal of health, population, and nutrition 2009;27(1):80–6.
Pattamadilok S, Incomserb P, Sungdee A, Niramitsantipong A, Lukebua A, Kumperasart S, et al. Characterization of Mumps Virus Genotypes in Thailand during 2007–2008: First Report. Bulletin of the Department of Medical Sciences 2008; 50(3): 197–206.
Jin L, Orvell C, Myers R, Rota PA, Nakayama T, Forcic D, et al. Genomic diversity of mumps virus and global distribution of the 12 genotypes. Rev Med Virol 2015; 25(2): 85–101.
Liu W, Deng L, Lin X, Wang X, Ma Y, Deng Q, et al. Importation of Mumps Virus Genotype K to China from Vietnam. Emerg Infect Dis 2018; 24(4): 774–8.
Gilliland SM, Jenkins A, Parker L, Somdach N, Pattamadilok S, Incomserb P, et al. Vaccine–related mumps infections in Thailand and the identification of a novel mutation in the mumps fusion protein. Biologicals : journal of the International Association of Biological Standardization 2013; 41(2): 84–7.
Livingston KA, Rosen JB, Zucker JR, Zimmerman CM. Mumps vaccine effectiveness and risk factors for disease in households during an outbreak in New York City. Vaccine 2014; 32(3): 369–74.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2020 รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาประจำสัปดาห์
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
1. เนื้อหาและข้อมูลในบทความที่ลงพิมพ์กับ WESR ถือเป็นข้อคิดเห็น และความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความโดยตรงซึ่งกองบรรณาธิการวารสารไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย หรือร่วมรับผิดชอบใด ๆ
2. บทความ ข้อมูล เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ที่ได้รับการตีพิมพ์ใน WESR ถือเป็นลิขสิทธิ์ของวารสารวิชาการ หากบุคคลหรือหน่วยงานใดต้องการนำทั้งหมดหรือส่วนหนึ่ง ส่วนใดไปเผยแพร่ กรุณาอ้างอิงบทความนั้น ๆ