ผลการติดเชื้อของลูกที่เกิดจากแม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ได้รับยาทีโนโฟเวียร์ ขณะตั้งครรภ์ โรงพยาบาลสกลนคร

ผู้แต่ง

  • พูลสวัสดิ์ วงศ์วิชิต โรงพยาบาลสกลนคร

คำสำคัญ:

การถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาสู่ลูก, อิมมูโนโกลบุลินป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี, ยาทีโนโฟเวียร์

บทคัดย่อ

           การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง เพื่อศึกษาอุบัติการณ์การถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจาก มารดาสู่ลูกและอุบัติการณ์การสร้างภูมิป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากการฉีดวัคซีนในลูกที่เกิดจากมารดาติด เชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่มีปริมาณไวรัสตับอักเสบบีสูง และได้รับยาทีโนโฟเวียร์ขณะตั้งครรภ์ มาฝากครรภ์และคลอดใน โรงพยาบาลสกลนครตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2563 จำนวน 19 ราย เก็บรวบรวม ข้อมูลจากเวชระเบียนโรงพยาบาล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ บรรยาย

            ผลการวิจัยพบว่า มารดาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่มีปริมาณไวรัสตับอักเสบบีสูงและได้รับยาทีโนโฟเวียร์ขณะ ตั้งครรภ์ ได้รับยาทีโนโฟเวียร์มากกว่า 4 สัปดาห์ก่อนคลอด คิดเป็นร้อยละ 89.5 ไม่ได้รับการตรวจภูมิป้องกันการติด เชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAb) ขณะตั้งครรภ์ ร้อยละ 94.7 ไม่ได้รับการตรวจนับจำนวนไวรัส (viral load) หลังได้ รับยา ร้อยละ 89.5 ขณะที่ลูกได้รับอิมมูโนโกลบุลินป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBIG) ไม่เกิน 12 ชั่วโมง หลังคลอด ร้อยละ 100 และได้รับการตรวจโปรตีนส่วนผิวของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) และ HBsAb ในช่วง อายุ 12–24 เดือน ร้อยละ 84.2 พบอุบัติการณ์การถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากมารดาสู่ลูก ร้อยละ 10.5 และ อุบัติการณ์การสร้างภูมิป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ร้อยละ 78.9

              การศึกษานี้เป็นผลการดำเนินงานตามแนวทางการดำเนินการกำจัดการถ่ายทอดไวรัสตับอักเสบบีจากแม่สู่ลูก ของกระทรวงสาธารณสุขเฉพาะในหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่มีปริมาณไวรัสตับอักเสบบีสูง และได้รับยาที โนโฟเวียร์ขณะตั้งครรภ์เท่านั้น จึงควรศึกษาเพิ่มเติมในหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีกลุ่มอื่นหรือที่ไม่ได้ฝาก ครรภ์

ประวัติผู้แต่ง

พูลสวัสดิ์ วงศ์วิชิต, โรงพยาบาลสกลนคร

นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานสูตินารีเวชกรรม โรงพยาบาลสกลนคร

เอกสารอ้างอิง

สำนักสารสนเทศ สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข. สธ. โชว์ผลงานรอบ 20 ปีป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีสำเร็จ ลดเหยื่อรายใหม่ลงได้ปีละเกือบ 20,000 คน ลดความเสี่ยงมะเร็งตับ ตับแข็งในอนาคตได้ [อินเทอร์เน็ต]. 2553 [เข้าถึงเมื่อ 13 เมษายน 2563]. เข้าถึงได้จาก: https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/all/

/13111

Pan CQ, Duan Z, Dai E. Tenofovir to Prevent Hepatitis B Transmission in Mothers with High Viral Load. N Engl J Med 2016;374(24):2324–34.

ไพศาล ธัญญาวินิชกุล, สมยศ กิติสุภรณ์พันธ์, นิพพิชฌน์ พรหมมี, วรวรรณ วสุโสภาพล, สุรพันธ์ แสงสว่าง, สุรเชษฐ์ อรุโณทอง, และคนอื่นๆ. ความชุกของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในประขากรตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. ว. กรมการแพทย์ 2560;42(2):103:102–109.

ศูนย์ประสานงานโรคตับอักเสบจากไวรัส กองโรคป้องกันด้วยวัคซีน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการดำเนินงานการกำจัดการถ่ายทอดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากแม่สู่ลูก. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ เจ.เอส; 2561.

Jourdain G, Ngo–Giang–Huong N, Tim R, Cressey TR, Lei Hua L , Harrison L, Tierney C, et al. Prevention of mother–to–child transmission of hepatitis B virus: a phase III, placebo–controlled, double–blind, randomized clinical trial to assess the efficacy and safety of a short course

of tenofovir disoproxil fumarate in women with hepatitis B virus e–antigen. BMC Infect Dis 2016;16:393.

Yao N, Fu S, Wu Y, Tian Z, Feng Y, Li J, et al. Incidence of mother–to–child transmission of hepatitis B in relation to maternal peripartum antiviral prophylaxis: A systematic review and meta–analysis. Acta Obstet Gynecol Scand 2022;101(11):1197–1206.

Nguyen Ha–T, Thavorncharoensap M, Phung Toi L, Anothaisintawee T, Chaikledkaew U, Sobhonslidsuk A, et al. Comparative efficacy and safety of pharmacologic interventions to prevent mother–to–child transmission of hepatitis B virus: a systematic review and network

meta–analysis. American Journal of Obstetrics and Gynecology 2022;227(2): 163–172.

World Health Organization. Hepatitis B vaccines: WHOposition paper–July 2017. Weekly Epidemiological Record 2017;92(27):369–392.

นริสา ตัณหัยย์, พิศพรรณ วีระยิ่งยง, พัทธรา ลีฬหวรงค์, ยศ ตีระวัฒนานนท์. ความคุ้มค่าของการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบีในประเทศไทย. ว. วิจัยระบบสาธารณสุข 2556;7(4):440–51.

คลินิกฝากครรภ์. เวชสถิติ ปีงบประมาณ 2561–2563. หน่วยงานฝากครรภ์และวางแผนครอบครัวโรงพยาบาลสกลนคร: สกลนคร; 2563.

กลุ่มพัฒนาอนามัยแม่และเด็กศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ กลุ่มพัฒนาอนามัยแม่และเด็ก. แนวทางการดูแลหญิงตั้งครรภ์และทารกเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี จากแม่สู่ลูก [อินเทอร์เน็ต]. 2564 [เข้าถึงเมื่อ 12 กรกฎาคม 2565]. เข้าถึงได้จาก: http://mch.hpc1.go.th/uploads/article/website/1/5%20 แนวทาง

การดูแลหญิงตั้งครรภ์และทารกเพื่อป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ.pdf

Krejcie RV, Morgan DW. Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement 1970;30(3):607–610.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-06-25

รูปแบบการอ้างอิง

1.
วงศ์วิชิต พ. ผลการติดเชื้อของลูกที่เกิดจากแม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีที่ได้รับยาทีโนโฟเวียร์ ขณะตั้งครรภ์ โรงพยาบาลสกลนคร. Med J Sakon Nakhon Hosp [อินเทอร์เน็ต]. 25 มิถุนายน 2024 [อ้างถึง 9 ธันวาคม 2025];25(3):13-25. available at: https://he05.tci-thaijo.org/index.php/JSakonNakHosp/article/view/2754

ฉบับ

ประเภทบทความ

นิพนธ์ต้นฉบับ