การพัฒนารูปแบบการสร้างแรงจูงใจโดยการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ ในการมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (2) พัฒนารูปแบบการสร้างแรงจูงใจผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ และ (3) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น โดยดำเนินการวิจัยเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยใช้การสำรวจกลุ่มตัวอย่างสตรีจำนวน 150 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่เคยตรวจและไม่เคยตรวจคัดกรองกลุ่มละ 75 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบไคสแควร์ (Chi-square test) ผลการศึกษา พบว่าปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตรวจคัดกรอง ได้แก่ อายุ อาชีพ อายุเมื่อตั้งครรภ์ครั้งแรก ทัศนคติ การรับรู้โอกาสเสี่ยง และการรับรู้ประโยชน์ของการตรวจคัดกรอง
ระยะที่ 2 เป็นการพัฒนารูปแบบการสร้างแรงจูงใจโดยใช้ Facebook เป็นแพลตฟอร์มหลัก ร่วมกับผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และสตรีที่ยังไม่เคยตรวจคัดกรอง รวม 10 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Thematic Analysis) ได้แนวทางส่งเสริมการตรวจคัดกรองที่ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) การออกแบบเนื้อหาที่น่าสนใจ (2) การส่งเสริมการมีส่วนร่วม (3) การนำเสนอข้อมูลที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และ (4) การกระตุ้นแรงจูงใจอย่างต่อเนื่อง
ระยะที่ 3 เป็นการประเมินประสิทธิผลของรูปแบบผ่านการวิจัยแบบกึ่งทดลอง โดยเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ กลุ่มละ 65 คน วิเคราะห์ผลด้วยสถิติ Paired t-test และ Independent sample t-test พบว่า หลังจากได้รับข้อมูลผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ กลุ่มทดลองมีทัศนคติและความเชื่อด้านสุขภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงมีการรับรู้โอกาสเสี่ยงและการรับรู้ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการสร้างแรงจูงใจและส่งเสริมให้สตรีเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น ทั้งนี้ ควรมีการพัฒนาเนื้อหาและกลยุทธ์ในการเผยแพร่ข้อมูลให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการรณรงค์ด้านสุขภาพในอนาคต
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กชกร ทิพย์สันเทียะ, วิศรุดา ตีเมืองซ้าย และสุพจน์ คำสะอาด. (2565). อุบัติการณ์การมาตรวจยืนยันผลพยาธิวิทยาของสตรีที่มีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม. ใน การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับชาติ ครั้งที่ 23 (น. 438–447). มหาวิทยาลัยขอนแก่น, ขอนแก่น, ประเทศไทย.
กรมการแพทย์. (2562). แผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ (พ.ศ. 2561–2565). สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2566, จาก https://www.nci.go.th/th/New_web2024/officer/download/nccp/NCCP_61_65.pdf
กฤช สอนกอง. (2021). ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีอายุ 30–60 ปี ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลตากตก จังหวัดตาก. J Med Health Sci, 28(3), 61–74.
นันทิดา จันต๊ะวงค์, ปิยธิดา ตรีเดช, สุคนธา ศิริ และชาญวิทย์ ตรีเดช. (2560). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในสตรีกลุ่มเป้าหมาย อายุ 30–60 ปี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี, 28(1), 63–79.
นิธิภา นิธิทรัพย์สกุล, สุพจน์ คำสะอาด, ศราวุธ มิทะลา และวิศรุดา ตีเมืองซ้าย. (2565). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการไม่มาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในญาติสายตรงของกลุ่มเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม. ศรีนครินทร์เวชสาร, 37(5), 449–557.
พรพิมล โสฬสกุลางกูล. (2560). ปัจจัยทำนายการมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของแม่บ้านตำรวจในเขตกรุงเทพมหานคร. (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พรรณี ปิ่นนาค. (2563). เหตุผลและปัจจัยของการไม่ไปรับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก: กรณีศึกษาสตรีอายุ 30–60 ปี ในตำบลนาโพธิ์ อำเภอสวี จังหวัดชุมพร. วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ, 3(1), 118–131.
พิชิต วิจิตรบุญยรักษ์. (2564). สื่อสังคมออนไลน์: สื่อแห่งอนาคต. วารสารนักบริหาร, 31(4), 99–103.
พิมพ์ลดา อนันต์สิริเกษม, พลอยประกาย ฉลาดล้น, จรัสศรี เพ็ชรคง, รุจา แก้วเมืองฝาง และพีรเทพ รุ่งคุณากร. (2564). การพัฒนารูปแบบการสนทนาแบบสร้างแรงจูงใจและการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ต่อความเชื่อด้านสุขภาพในการมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 6(12), 544–562.
พิมพ์ลดา อนันต์สิริเกษม, พลอยประกาย ฉลาดล้น, รุจา แก้วเมืองฝาง, สถิรกานต์ ทั่วจบ และนวลอนงค์ ศรีสุกไสย. (2563). การพัฒนารูปแบบการส่งเสริมแรงจูงใจในการมาตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 5(10), 248–265.
ภูนรินทร์ สีกุด, มะลิวัลย์ บางนิ่มน้อย และชาลินี มานะยิ่ง. (2564). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีกลุ่มเสี่ยง ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา. วารสารสาธารณสุขมูลฐาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, 36(1), 37–47.
วราพร ดำจับ. (2562). สื่อสังคมออนไลน์กับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้, 7(2), 143–159.
วิจิตร ใจดี. (2566). ศึกษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยใช้กระบวนการภาคีเครือข่าย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองหลวง อำเภอเฝ้าไร่ จังหวัดหนองคาย. วารสารสุขภาพและสิ่งแวดล้อมศึกษา, 8(3), 352–361.
ศิริวรรณ จันทร์แจ้ง, พัชราพร เกิดมงคล และทัศนีย์ รวิวรกุล. (2562). ผลของโปรแกรมสร้างแรงจูงใจในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของอาสาสมัครสาธารณสุขสตรีมุสลิม. วารสารสุขศึกษา, 42(2), 52–62.
สถิติสุขภาพคนไทย. (2564). โรคมะเร็งปากมดลูก. สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2566, จาก https://www.hiso.or.th/thaihealthstat/area/index.php?ma=3&pf=01818101&tp=13_5
สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). สำรวจการมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2567 (ไตรมาส 1). สืบค้นเมื่อ 5 มกราคม 2568, จาก https://www.nso.go.th/nsoweb/storage/survey_detail/2024/20240531072624_68686.pdf
สุนิสา สุขชูศรี และวิราสิริริ์ วสีวีรสิว์. (2567). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรี อายุ 30–60 ปี ตำบลกฤษณา อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสารมหาจุฬาคชสาร, 15(1), 117–137.
Bandura, A. (1977). Social learning theory. Prentice Hall.
Dillenbourg, P. (1999). Collaborative learning: Cognitive and computational approaches. Elsevier.
Gu, C., Chan, C. W., Twinn, S. F., Choi, K. C., & So, W. K. (2020). The influence of knowledge and attitudes on cervical cancer screening among Chinese women: A systematic review. International Journal of Nursing Studies, 51(1), 165–174. https://doi.org/10.1016/j.ijnurstu.2012.04.001
Rosenstock, I. M. (1974). The health belief model and preventive health behavior. Health Education Monographs, 2(4), 354–386. https://doi.org/10.1177/109019817400200405
World Health Organization. (2018). WHO leads the way towards the elimination of cervical cancer as a public health concern. https://www.who.int/news/
item/11-09-2018-who-leads-the-way-towards-the-elimination-of-cervical-cancer-as-a-public-health-concern