ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง คลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลตรัง จังหวัดตรัง
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross Sectional Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ระดับพฤติกรรมการดูแลตนเองและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงคลินิกหมอครอบครัว โรงพยาบาลตรัง จังหวัดตรัง มีกลุ่มตัวอย่าง 270 คน โดยใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย โดยจับฉลากรายชื่อผู้ป่วยจากทะเบียนนัดประจำวัน เก็บข้อมูลโดยใช้เครื่องมือแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient)
ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 61- 70 ปี ศึกษาระดับประถมศึกษา อาชีพเกษตรกรรม รายได้ครอบครัวเฉลี่ยต่อเดือน 20,000 – 29,999 บาท สถานภาพสมรส/อยู่ด้วยกัน และระยะเวลาการป่วยเป็นโรค 3-8 ปี มีการรับรู้แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ อยู่ในระดับสูง ทุกคน (ร้อยละ 100.00) เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้อุปสรรค การรับรู้ความสามารถของตนเอง ส่วนใหญ่อยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 98.15, 92.95, 94.81 และ 95.93) ตามลำดับ และมีการรับรู้ประโยชน์และการรับรู้ปัจจัยชักนำกระตุ้นการปฏิบัติอยู่ในระดับสูงทุกคน (ร้อยละ 100.00) และส่วนใหญ่มีพฤติกรรมการดูแลตนเองอยู่ในระดับสูง (ร้อยละ 97.00) เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 (r = 0.302) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า การรับรู้โอกาสเสี่ยง การรับรู้ความรุนแรง การรับรู้ประโยชน์ การรับรู้อุปสรรค และการรับรู้ความสามารถของตนเองมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง (r = 0.120, 0.182, 0.155, 0.160 และ 0.181) ตามลำดับ แต่ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยชักนำกระตุ้นกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผลการวิจัยนี้สามารถนำข้อมูลไปใช้ในพัฒนานโยบาย หรือแนวทางในการจัดกิจกรรมสร้างเสริมพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2562). รายงานสถานการณ์โรค NCDS.นนทบุรี: กระทรวงสาธารณสุข. ค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2567, จากhttps://www.ddc.moph.go.th/
dncd/journal_detail.php?publish=10358.
กองยุทธศาสตร์และแผนงานสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2566). สถิติสาธารณสุข. กองยุทธศาสตร์แลแผนงาน.
เบญจมาศ สุขศรีเพ็ง. (2559). แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ (Health Belief Model). ค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2567, https://www.gotoknow.org
/posts/115420
พิลารัฐ ภูระธีรานรัชต์ และอภิญญา วงศ์พิริยะโยธา.
(2562). ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิด ไม่ทราบสาเหตุ. วารสารการแพทย์โรงพยาบาลศรีสะเกษ, 34 (2), 257-272.
เพ็ญศรี ผาสุก. (2563). ความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้สูงอายุ ตำบลหนองแค อำเภอราษีไศล จังหวัด
ศรีสะเกษ. วารสารวิชาการกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, 16 (1 ) , 44-55.
พนิดา ชัยวัง (2562). ความเชื่อด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคของผู้สูงอายุภาวะก่อนความดันโลหิตสูง (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วานิช สุขสถาน. (2562). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงในชุมชนชนบท. อุบลราชธานี. วารสารกฎหมายสุขภาพและสาธารณสุข, 4(3), 431-441.
ชฎาภรณ์ บุตรบุรี. (2566). ความสัมพันธ์ระหว่างแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงในคลินิกหมอครอบครัว ตำบลคูบัว อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี วารสารวิจัยเพื่อการส่งเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิต, 3(3) ,13-24.
ชัญญานุช ไพรวงษ์, วรัญญู สัตยวงศ์ทิพย์,ภูนรินทร์
สีกุด. (2560). การศึกษาความเชื่อด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการดูแลตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา. วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพวิทยาลัยนครราชสีมา, 11(1), 107-116.
ชื่นกมล สิทธิยอดยิ่ง. (2565). แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลตนเอง เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ โรงพยาบาลนภาลัยจังหวัดสมุทรสงคราม. วารสารศาสตร์สุขภาพและการศึกษา, 2(2),
-60.
สำนักงานสาธารณสุขตรัง,.(2566) ระบบฐานข้อมูลสุขภาพ (Health Data Center. HDC). ค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2567,จากhttps://hdc.moph.go.th/trg/public/standard-report-detail/29eec762c9591d1f8092da14c7462361
โรงพยาบาลตรัง. (2566). ทะเบียนผู้รับบริการแผนกผู้ป่วยนอกโรคความดันโลหิตสูง (รหัสวินิจฉัย I10). .ค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2567, ระบบ HOSxP.รพ.ตรัง.
เสงี่ยม จิ๋วประดิษฐ์กุล. (2563). พฤติกรรมการดูแลตนเองและความสามารถในการควบคุมความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงชนิด ไม่ทราบสาเหตุ ศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองโพธาวาส. วารสารวิจัยและนวัตกรรมทางสุขภาพ, 3,(1) , 15-30.
Best, J. W. (1997). Research in education (3rd. ed.). Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hell.
Stretcher, V.J., Rosenstock, I.M., & Becker, M.H. (1988). Social learningtheory and the Health Belief Model. EducQ, 15(2), 175-83.
Davies, J.A. (1971). Elementary Survey Analysis. New Jersey: Prentice Hall.
Wayne W., D. (1995). Biostatistics: A Foundation of Analysis in the Health Sciences (6th ed.). John Wiley&Sons, Inc., 177-178.