การศึกษาอัตราการติดเชื้อในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ของผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประเทศไทย

บทคัดย่อ

ความเป็นมา: การศึกษาอัตราการติดเชื้อโรคโควิด 19 ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของประเทศไทยครั้งนี้ เพื่อศึกษาอัตราการแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด 19 ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงประเภทต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้กำหนดมาตรการดำเนินงานในกลุ่มผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาระบาดวิทยาเชิงพรรณนา โดยมีหน่วยวิเคราะห์ในระดับรายบุคคล คือ กลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของผู้ป่วยยืนยันโควิด 19 โดยศึกษาข้อมูลการติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงสูงของผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 จากฐานข้อมูลผู้สัมผัสผู้ป่วยยืนยันโรคโควิด 19 กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม–31 พฤษภาคม 2563 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ และอัตรา
ผลการศึกษา: ช่วงวันที่ 3 มกราคม–31 พฤษภาคม 2563 พบผู้ป่วยทั้งสิ้น 3,081 ราย มีผู้สัมผัส 8,621 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 5,200 ราย อัตราการติดเชื้อในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงในช่วงเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ 2563 คิดเป็นร้อยละ 1.41 ช่วงเดือนมีนาคม 2563 เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 4.33 และช่วงต้นเดือนเมษายน 2563 (1–7 เม.ย.) เพิ่มสูงสุดพบร้อยละ 4.80 หลังจากนั้นเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ในช่วงปลาย เดือนเมษายน 2563 พบร้อยละ 0.61 และเดือนพฤษภาคม 2563 พบร้อยละ 0.00 โดยเมื่อพิจารณาอัตราการติดเชื้อโรคโควิด 19 ในกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จำแนกตามประเภทผู้สัมผัส พบว่ากลุ่มบุคคลในครอบครัวพบร้อยละ 7.73 กลุ่มเพื่อนร้อยละ 12.45 บุคคลร่วมยานพาหนะส่วนบุคคลร้อยละ 7.94 กลุ่มคนร่วมกิจกรรมสาธารณะ/สันทนาการร้อยละ 7.35 กลุ่มคนร่วมรับประทานอาหาร/วงสุรา ร้อยละ 2.82 เพื่อนร่วมงานร้อยละ 2.15 บุคคลร่วมสถานที่สาธารณะร้อยละ 1.39 บุคคลร่วมเดินทาง/กรุ๊ปทัวร์ร้อยละ 1.35 บุคลากรทางการแพทย์ร้อยละ 1.10 และบุคคลร่วมโดยสารเครื่องบินร้อยละ 0.46 สำหรับกลุ่มเจ้าหน้าที่สนามบิน บุคคลร่วมชุมชน/ร่วมเรือนจำ/ร่วมศาสนพิธี/ร่วมสถานศึกษา ไม่พบการติดเชื้อ
สรุปและวิจารณ์: การแพร่กระจายของเชื้อโรคโควิด 19 ส่วนใหญ่มาจากผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มบุคคลใกล้ชิดที่แข็งแรงหรือไม่แสดงอาการป่วย จึงละเลยมาตรการป้องกัน เช่น มาตรการสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล ล้างมือ และหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่เสี่ยง