ปัจจัยเชิงสาเหตุของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในการตัดสินใจสวมหมวกนิรภัย: การวิจัยเชิงคุณภาพ
คำสำคัญ:
หมวกนิรภัย, พฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัย, การวิจัยเชิงคุณภาพ, นักศึกษามหาวิทยาลัยบทคัดย่อ
บทนำ: อุบัติเหตุจากการไม่สวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษา
วัตถุประสงค์การวิจัย: เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุในการตัดสินใจสวมหมวกนิรภัยของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก
ระเบียบวิธีวิจัย: การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแบบพรรณนา โดยเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง ผู้ให้ข้อมูลหลักเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 10 คน อายุระหว่าง 20-24 ปี เก็บข้อมูลระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2567 ถึง เดือนมกราคม พ.ศ. 2568 และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ
ผลการวิจัย: พบว่าการตัดสินใจสวมหมวกนิรภัยของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงครามมีสาเหตุสำคัญมาจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ 1) ความตระหนักต่อความปลอดภัย โดยผู้มีประสบการณ์อุบัติเหตุโดยตรงมีแนวโน้มสวมหมวกนิรภัยสูงกว่า 2) การชั่งน้ำหนักระหว่างความสะดวกสบายกับความปลอดภัย โดยสภาพอากาศร้อนและความไม่สะดวกในการพกพาเป็นอุปสรรคสำคัญ 3) อิทธิพลของสภาพแวดล้อมทางสังคม ทั้งจากกลุ่มเพื่อน ครอบครัว และนโยบายสถาบัน และ 4) การรับรู้ความเสี่ยง ซึ่งมักประเมินความเสี่ยงต่ำในระยะทางใกล้หรือบนถนนในมหาวิทยาลัย
สรุปผล: การตัดสินใจสวมหมวกนิรภัยของนักศึกษาเกิดจากปัจจัยด้านบุคคล (ความตระหนักต่อความปลอดภัย การรับรู้ความเสี่ยง) และปัจจัยสภาพแวดล้อม (ความสะดวกสบาย อิทธิพลทางสังคมและการบังคับใช้กฎหมาย) ซึ่งความเข้าใจในปัจจัยเหล่านี้สำคัญต่อการออกแบบมาตรการส่งเสริมความปลอดภัย
ข้อเสนอแนะ: สถาบันการศึกษาควรเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎระเบียบการสวมหมวกนิรภัยภายในมหาวิทยาลัย พร้อมจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างความตระหนักถึงความเสี่ยงในการขับขี่ระยะสั้น และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการเก็บหมวกนิรภัยในพื้นที่การศึกษาเพื่อลดอุปสรรคด้านความสะดวกสบาย
เอกสารอ้างอิง
กู้เกียรติ ก้อนแก้ว และวิภาดา ศรีเจริญ. (2020). ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้หมวกนิรภัยในนักศึกษาสาขาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก. วารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 39(3), 227–238. https://li01.tci-thaijo.org/index.php/scimsujournal/article/view/202274
ไทยพีบีเอส. (2565). "5 ปี 5 แสนล้าน" สธ.เปิดตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางถนน. https://www.thaipbs.or.th/news/content/322550
บูชิตา ไวทยานนท์. (2566). มาตรการการลดอุบัติเหตุทางถนน. วิจัยปริทัศน์ กลุ่มงานวิจัยและพัฒนา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 39, 1-19. https://prt.parliament.go.th/server/api/core/bitstreams/f224d49a-51ab-4f76-a622-63293e8ffb41/content
ปิยะวัฒน์ คำภีระ. (2558). การศึกษารูปแบบและช่วงเวลาของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน: กรณีศึกษาเทศบาลนครพิษณุโลก (วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรี). พิษณุโลก. มหาวิทยาลัยนเรศวร. https://trsl.thairoads.org/FileUpLoad/1610/170202001610.pdf
รัชชานันท์ ศรีสุภักดิ์, ประภากร ศรีสว่างวงศ์, และวรรวิษา ตรีสูน. (2564). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อภาวะการสวมหมวกนิรภัยของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม. วารสารวิจัยสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, 10(2), 57-64. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ubruphjou/article/view/244204
วัฒนวงศ์ รัตนวราห และจินตวีร์ เกษมศุข. (2553). การศึกษาพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในจังหวัดนครปฐม โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน. Journal of Architectural/Planning Research and Studies, 7(1), 73-86. https://so02.tci-thaijo.org/index.php/jars/article/view/168914
วัฒนวงศ์ รัตนวราห, สัจจากาจ จอมโนนเขวา, ดวงดาว วัฒนากลาง, และดิสกุล ชลศาลาสินธุ์. (2557). การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการสวมใส่หมวกนิรภัยโดยใช้สมการโครงสร้างพื้นฐานทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพในสังคมเมืองและชนบท (รายงานการวิจัย). นครราชสีมา. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.
สมาคมสื่อช่อสะอาด. (2565). ผลศึกษาเผยอุบัติเหตุทางถนนทำคนไทยอายุสั้นลง 5 ปี ทำสูญเสียทางเศรษฐกิจ 12 ล้านล้านบาท ฉุดรั้งขีดความสามารถพัฒนาประเทศ. https://www.chorsaard.or.th/content/61636
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร. (2565). รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของกระทรวงคมนาคม พ.ศ. 2565. https://www.otp.go.th/uploads/tiny_uploads/PDF/2566-11/RoadAccidentAna2565_final.pdf
Ajzen, I. (1991). The theory of planned behavior. Organizational Behavior and Human Decision Processes, 50(2), 179-211. https://doi.org/10.1016/0749-5978(91)90020-T
Bradshaw, C., Atkinson, S., & Doody, O,. Employing a Qualitative Description Approach in Health Care Research. (2017). Global Qualitative Nursing Research, 4, https://doi.org/10.1177/2333393617742282
Braun, V., & Clarke, V. (2006). Using thematic analysis in psychology. Qualitative Research in Psychology, 3(2), 77–101. https://doi.org/10.1191/1478088706qp063oa
Creswell, J. W., & Poth, C. N. (2018). Qualitative inquiry and research design: Choosing among five approaches (4th ed.). Sage Publications.
DiCicco-Bloom, B. and Crabtree, B.F. (2006), The qualitative research interview. Medical Education, 40, 314-321. https://doi.org/10.1111/j.1365-2929.2006.02418.x
Guest, G., Namey, E., & Chen, M. (2020). A simple method to assess and report thematic saturation in qualitative research. PLOS ONE, 15(5), e0232076. https://doi.org/10.1371/journal.pone.0232076
Mahdavi Sharif, P., Najafi Pazooki, S., Ghodsi, Z. et al. (2023). Effective factors of improved helmet use in motorcyclists: a systematic review. BMC Public Health, 23(26), https://doi.org/10.1186/s12889-022-14893-0
Rosenstock, I. M. (1974). Historical origins of the health belief model. Health Education Monographs, 2(4), 328-335. https://doi.org/10.1177/109019817400200403
Sandelowski, M. (2000). Whatever happened to qualitative description?. Research in Nursing & Health, 23, 334-340. https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/1098-240X(200008)23:4<3C334::AID-NUR9>3E3.0.CO;2-G
World Health Organization. (2023). Global status report on road safety 2023. https://www.who.int/teams/social-determinants-of-health/safety-and-mobility/global-status-report-on-road-safety-2023
